ปีนี้อาจจะเป็นวิกฤติของของหลายอุตสาหกรรม
แต่นับเป็นปีทองของ "ถุงมือยาง" ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19
กลายเป็นปัจจัยบวกที่ผลักดันให้การส่งออกถุงมือยางเติบโตแบบก้าวกระโดด
ข้อมูลจากกรมศุลกากรระบุว่า ในช่วง 6 เดือนแรก (มกราคม-มิถุนายน) 2563 ไทยส่งออกถุงมือยางมูลค่าถึง 23,920 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตลาดส่งออกหลักที่ขยายตัวสูง ได้แก่ สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 4.82% จีนเพิ่มขึ้น 9.59% เยอรมันเพิ่มขึ้น 14.5% และสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นถึง 51%
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
แน่นอนว่าโรคระบาดที่เกิดขึ้น
เป็นปัจจัยแรกที่ทำให้ดีมานด์ถุงมือยางด้านการแพทย์มาก่อน
แต่ขณะนี้ดีมานต์ทุกอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นตามมา ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร สายการบิน
หรือบริษัททั่วไป ก็ใช้ถุงมือทั่วไป และจะมีการเปลี่ยนบ่อยมากขึ้น นี่จะเป็นจุดทำให้ดีมานต์เพิ่มขึ้นมากแบบก้าวกระโดด
สมาคมผู้ผลิตถุงมือยางแห่งมาเลเซีย (MARGMA)
ได้ประเมินความต้องการใช้ถุงมือยางทั่วโลกในปี 2562 อยู่ที่ประมาณ
300,000 ล้านชิ้น เติบโตเฉลี่ย 12.2% ต่อปี ช่วง 5 ปีนับจากปี 2559
ที่มีความต้องการใช้ 212,000 ล้านชิ้น และในปีนี้ความต้องการถุงมือยางโลกจะเพิ่มขึ้นกว่า
330,000 ล้านชิ้น
ในส่วนของไทยถือเป็นผู้ผลิตถุงมือยางท็อป 5
ของโลก มีโรงงานต่างที่ผลิตถุงมือยางมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ บริษัท
ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติ
ที่เพิ่งจะขยายธุรกิจโดยการเข้าทำการซื้อขายหุ้น STGT ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อเดือนกรกฎาคม
25633 ที่ผ่านมา สร้างปรากฎการณ์ราคาหุ้นพุ่ง 62.5% ทะลุเหนือราคาไอพีโอหุ้นละ 34
บาท จากโควิดทำให้ผลประกอบการในไตรมาส 1 ปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 3,873.28
ล้านบาท เติบโต 28.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไร 421.89 ล้านบาท เติบโต
184.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยศรีตรังวางแผนที่ผลักดันการผลิตให้ได้ 50,000 ล้านชิ้น ภายใน 5 ปี หรือในปี 2568 จากปัจจุบันอยู่ที่ 30,000 ล้านชิ้น โดยได้ขยายตลาดไปสู่ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง หรือ Emerging จากปัจจุบันที่สัดส่วนรายได้จากการส่งออก 90% ไปยัง 140 ประเทศทั่วโลก ทั้งตลาดเอเชีย 40% ยุโรป 20% อเมริกา 20% และอื่นๆ เช่นตะวันออกกลางและแอฟริกา
นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT
ยอมรับว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
ได้ส่งผลให้เกิดความต้องการใช้ถุงมือยางเพิ่มขึ้นทั่วโลก
บริษัทมียอดขายล้นไปถึงปีหน้า มีออเดอร์เข้ามาขณะนี้เพิ่มเติม 3-4 พันล้านบาท
ส่วนใหญ่เป็นโปรดักส์ถุงมือยางตรวจโรค 65% และ 35% ถุงมือถุงมือยางธรรมชาติ
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า
โอกาสการผลิตและการส่งออกถุงมือยางเป็นขุมทรัพย์ที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามมอง เพราะถึงผ่านพ้นช่วงโควิดไปแล้ว
แต่คาดว่าความต้องการถุงมือยางจะเพิ่มขึ้นในระดับเลข 2 หลักต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปี
หากผู้คนเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพปรับสู่พฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบวิถีใหม่ new
normal นั่นคือโอกาสของอุตสาหกรรม ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยว่านักลงทุนต่างชาติมองโอกาสการเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ในประเทศไทย
ซึ่งถือเป็นแหล่งผลิตที่มีความพร้อมด้านวัตถุดิบอย่างมาก
เมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุว่า มีรัฐวิสาหกิจจากจีนสนใจลงทุนตั้งโรงงานผลิตถุงมือยางในพื้นที่ของการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เนื้อที่ 20,000 ไร่ ตั้งเป้ากำลังการผลิต 1,800 ล้านชิ้นต่อปี ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มองถึงอนาคตการพัฒนาไทยไทยเป็นศูนย์กลางยางพาราครบวงจร หรือ รับเบอร์วัลเลย์