สถานการณ์ของขยะติดเชื้อที่เกิดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังคงน่าเป็นห่วงระดับโลก จากการเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว
และประชาชนยังขาดความเข้าใจในการกำจัดหรือแยกขยะติดเชื้อที่เกิดในชุมชนบ้านเรือน
คาดว่าในหลายประเทศมีปริมาณขยะติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19
เพิ่มขึ้น
ทั้งในส่วนที่เป็นอุปกรณ์ป้องกันจากคนทั่วไปและการรักษาจากทีมงานแพทย์ เช่น หน้ากากอนามัย ถุงมือยางแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ชุด PPE หลอดยา เข็มฉีดยา และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้รักษาผู้ป่วยติดเชื้ออื่นๆ ซึ่งขยะติดเชื้อเป็นขยะที่อันตรายในแง่ของการส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้ที่อาจไปสัมผัส สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อต่อจากขยะเหล่านี้ได้ หากกระจายไปตามแหล่งน้ำชุมชน หรือไม่ได้รับการจัดการกำจัดที่เหมาะสม
กรณีขยะติดเชื้อในจีนช่วงโควิด-19 และการรับมือ
จีนเป็นประเทศที่พบการแพร่ระบาดของโรคนี้เป็นพื้นที่แรกของโลก
หนักจนต้องสั่งสร้างโรงพยาบาลหั่วเสินซานอู่ฮั่น โรงพยาบาลเฉพาะกิจให้แล้วเสร็จภายในเวลาเพียง
10 วัน ควบคู่ไปกับการวางแผนสร้างโรงงานกำจัดขยะติดเชื้อเพื่อกำจัดขยะติดเชื้อที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นในเมืองอู่ฮั่นที่สูงกว่าปกติถึง
6 เท่าตัว สถานการณ์การแพร่ระบาดหนักของโรคนี้ในจีน ได้ทำให้เกิดขยะติดเชื้อรวมถึงขยะทางการแพทย์มากกว่าวันละ
240 ตัน
โดยกระทรวงนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อม (MEE) ของจีนเปิดเผยว่า
จีนได้กำจัดขยะทางการแพทย์ไปแล้วกว่า 123,000
ตันนับตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม 2563 ที่ผ่านมา
ท่ามกลางการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
การแพร่ระบาดของโรคติดต่อในครั้งนี้ ได้สร้างปริมาณภูเขาขยะติดเชื้อในจีนช่วงที่ระบาดหนัก เทียบกับปกติที่เกิดขึ้นวันละ
40 ตัน ซึ่งจีนใช้วิธีให้รัฐบาลกลางส่งรถโรงกำจัดขยะทางการแพทย์เคลื่อนที่ 46
คันไปช่วยกำจัดขยะทางการแพทย์ถึงที่ และปรับปรุงโรงกำจัดขยะอันตรายให้สามารถกำจัดขยะทางการแพทย์เพิ่มขึ้น
จากสถานการณ์ปกติเดิมที่สามารถกำจัดขยะทางการแพทย์ได้วันละ
50 ตัน เป็นวันละ 263 ตันในช่วงที่พบการแพร่ระบาดหนักของโรคโควิด-19 ซึ่งในช่วงเดือนมกราคม
- กลางเดือนมีนาคม 2563 จีนเป็นประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อด้วยโรคไวรัสโควิด-19
แบบสะสมติดเป็นอันดับหนึ่งของโลก
สำหรับประเทศไทยแม้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมเกือบ
3 พันคน เสียชีวิต 50 คน
จึงเป็นตัวเลขที่ยังไม่น่าห่วงกังวลถึงปริมาณของขยะติดเชื้อ และขยะทางการแพทย์ที่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนยากจะรับมือในการจัดการกำจัด
เพราะยิ่งมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาก
โอกาสที่ประเทศผู้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมจะสร้างภูเขาขยะติดเชื้อจากโรคโควิด-19 เหมือนอย่างในประเทศจีนย่อมมีมากตามไปด้วย
ปริมาณขยะติดเชื้อในไทย
ข้อมูลจากกรมอนามัยรายงานไว้ว่า
ประเทศไทยมีสถานพยาบาล ซึ่งได้แก่ โรงพยาบาล ศูนย์บริการสาธารณสุข สถานีอนามัย
คลินิก ทั้งที่เป็นของรัฐและเอกชนจำนวนมากกว่า 37,000 แห่ง ซึ่งมีจำนวนเตียงประมาณ
140,000 เตียง พยาบาลแต่ละแห่งมีการผลิตของเสีย ทั้งที่เป็นมูลฝอยทั่วไปและมูลฝอยติดเชื้อในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก
โดยมีปริมาณขยะมูลฝอยติดเชื้อจากสถานพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชน
ที่มีเตียงสำหรับผู้ป่วยประมาณ 23,725 ตันหรือวันละ 65 ตัน
เป็นมูลฝอยติดเชื้อที่เกิดขึ้นในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ประมาณวันละ 20 ตัน
ที่เหลือเกิดขึ้นในสถานพยาบาลในส่วนภูมิภาคอีกประมาณ 45 ตัน
อัตราการเกิดมูลฝอยติดเชื้อเฉลี่ย 0.54 กิโลกรัมต่อเตียงต่อวัน
ปริมาณมูลฝอยติดเชื้อดังกล่าวคาดว่าจะมีอัตราเพิ่มขึ้นปีละประมาณร้อยละ 5.5 และในปี 2555 – 2559
ปริมาณมูลฝอยติดเชื้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งในขณะที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 พบว่า
มีการสร้างขยะติดเชื้อเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกกว่า 5 เท่าตัว ด้วยผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19
จำนวน 1 คน จะมีอัตราการเกิดขยะมูลฝอยติดเชื้อได้ประมาณ 2.85 กิโลกรัมต่อเตียงต่อวัน
ซึ่งจะทำให้ประเทศต้องดูแลระบบติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มเป้าหมายนี้
แนวทางการจัดการขยะมูลฝอยติดเชื้อ
ขยะมูลฝอยที่เกิดจากโรงพาบาลสถานพยาบาล
ส่วนใหญ่จ้างบริษัทเอกชนดำเนินการขนส่งและกำจัดมูลฝอยติดเชื้อ คิดเป็นร้อยละ 75.94
ที่เหลือจะมอบหมายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการร้อยละ 8.64
และเผาด้วยเตาเผาในโรงพยาบาลร้อยละ 15.42
ซึ่งการเผาในเตาเผาเป็นวิธีการกำจัดมูลฝอยติดเชื้อที่ใช้กันมากที่สุด โดยมีเตาเผาขยะมูลฝอยติดเชื้อขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน
7 แห่งบริษัทเอกชนจำนวน 4 แห่ง เตาเผาขยะมูลฝอยติดเชื้อของโรงพยาบาล 62 แห่ง
และยังมีที่โรงพยาบาลอีก 6 แห่ง ที่ยังใช้ระบบการฆ่าเชื้อด้วยไอน้ำในการกำจัดมูลฝอยติดเชื้อ
ซึ่งจีนกำลังประสบกับปัญหาในการกำจัดขยะติดเชื้อทางการแพทย์
ที่มาพร้อมกับการแพร่ระบาดของโควิด-19
โดยมีการรายงานว่าโรงงานกำจัดขยะทางการแพทย์ในเขต 28 เมืองนอกเมืองอู่ฮั่นของจีน กำลังเร่งกำจัดขยะติดเชื้อทางการแพทย์ที่เกิดขึ้นอย่างเต็มกำลัง
ทั้งนี้จะเห็นว่าขยะมูลฝอยติดเชื้อทางการแพทย์เป็นสิ่งอันตรายที่ต้องแยกไปทำลาย โดยผู้ที่มีความรู้ความชำนาญโดยเฉพาะ เพื่อไม่ให้เกิดการปนเปื้อนหรือรั่วไหลของเชื้อโรคที่สามารถแพร่ระบาดสู่คนหรือสัตว์ได้ ยิ่งอยู่ภายใต้สถานการณ์ของการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ยิ่งจำเป็นต้องระมัดระวังป้องกันมากเป็นพิเศษ
การจัดการขยะติดเชื้อด้วยตนเองหรือในบ้านเรือน
สำหรับขยะติดเชื้อที่ภาคโรงพยาบาลนั้นไม่มีอะไรน่าห่วงกังวลเพราะมีมืออาชีพคอยดูแล
แต่ในส่วนของขยะติดเชื้อที่เกิดจากบ้านเรือนในช่วงนี้
โดยเฉพาะประเภทหน้ากากอนามัยใช้แล้วควรต้องมีวิธีป้องกันจัดการที่รัดกุม เพื่อลดการสุ่มเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อสู่ชุมชนคนรอบข้างรวมไปถึงเจ้าหน้าที่เก็บขยะ
ยิ่งถ้าเข้าข่ายว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงหรือมีอาการต้องสงสัยจำต้องระมัดระวังและจัดการดังนี้
ทิ้งหน้ากากอนามัยอย่างไรให้ถูกวิธี
1. ถอดหน้ากาก โดยไม่ต้องสัมผัสถูกด้านใน
2.
พับหน้ากากเก็บส่วนที่สัมผัสถูกร่างกาย น้ำลายให้อยู่ด้านในแล้วใช้สายรัดพันม้วนโดยรอบอย่างมิดชิด
3.นำเก็บใส่ถุงพลาสติกสีแดง หรือ
ถุงดำพร้อมติดป้ายหรือเขียนว่า "ขยะติดเชื้อ" ก่อนนำไปทิ้งแบบ
วางแยกทิ้งให้ห่างจากขยะอื่น
4.
ล้างมือทำความสะอาดด้วยสบู่และแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ
ขยะติดเชื้ออื่นๆ
จัดการได้โดยการแยกใส่ถุงแดง
ซึ่งผู้ที่ทำงานเก็บขยะจะเข้าใจทันทีว่าเป็นขยะติดเชื้อที่ต้องระวังในการเก็บ
และไม่ไปยุ่งเกี่ยว หรือถ้าไม่มีถุงสีแดง ให้ใช้วิธีการติดป้ายเขียนว่า
“ขยะติดเชื้อ” แทน แล้วนำไปทิ้งในถังสีแดงที่ กทม.
มีการจัดวางเพิ่มเติมไว้ให้ตามจุดต่างๆ
หรือถ้าไม่มีถังแดงในเขตพื้นที่ ให้ใช้วิธีวางแยกให้ดูเด่นจากถุงขยะอื่นๆ
แหล่งอ้างอิง :
https://ngthai.com/environment/28832/medical-trash/
https://www.ryt9.com/s/iq38/3103071
https://www.mcot.net/viewtna/5e69aa90e3f8e40af3420581
https://www.worldometers.info/coronavirus/
http://www.pcd.go.th/info_serv/waste_infectious.htm