สารพัดกลยุทธ์! เมื่อธุรกิจร้านอาหาร “ต้องรอด” วิกฤตโควิด-19
การรับมือกับโรคอุบัติใหม่อย่างโควิด-19 ซึ่งในหลายประเทศทั่วโลกต้องใช้มาตรการเข้มเพื่อยับยั้งการแพร่กระจาย หนึ่งในมาตรการสำคัญคือการให้อยู่บ้านและปิดพื้นที่ที่คนจำนวนมากอยู่รวมกัน อย่างศูนย์การค้าและงดการรับประทานอาหารในร้าน สถานการณ์นี้ทำให้ร้านอาหารเผชิญกับความยากลำบาก การกู้วิกฤติครั้งนี้จึงกลายเป็น “ความท้าทาย” อย่างมากในการประคองธุรกิจให้อยู่รอดภายใต้วิกฤติครั้งใหญ่นี้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
MK เจ็บเพื่อจบ จัดโปรแรง “ซื้อ 1 แถม1”
บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด
(มหาชน) มีปัจจัยเสี่ยงอยู่ที่การมีสาขานอกศูนย์การค้าจำนวนน้อยการปิดพื้นที่ดังกล่าวจึงได้รับผลกระทบมาก
ซึ่งการรับมือครั้งนี้ขั้นแรกเอ็มเค มุ่งไปที่การระบายสต็อกซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาหารสดและอาหารสำเร็จรูปที่มีอายุจำกัด
ด้วยแคมเปญซื้อ 1 แถม 1 ในอาหารหลายเมนู ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกในรอบ 33 ปีของเอ็มเค ที่ยอมเฉือนเนื้อลงถึง 50%
โดยหันมาจำหน่ายเฉพาะช่องทางออนไลน์อย่าง
www.MK1642.com, MK Delivery
แน่นอนว่าสินค้าที่สร้างกระแสให้กับแคมเปญนี้เป็นอย่างมากคือ “เป็ดย่างเอ็มเค”
เมื่อมีการจัดแคมเปญซื้อ 1 แถม 1 ในวันที่
25 มีนาคม พบว่ามีคำสั่งซื้อและส่งเป็ดย่างให้ลูกค้ามากกว่า 100,000
จาน
นอกจากนี้เอ็มเคได้เปิดให้บริการใหม่ผ่าน MK FRESH MART ด้วยการจำหน่าย“ผักสด”ภายใต้แนวคิด
“พร้อมส่งผักสด ตรงถึงบ้าน” เป็นผักจากโครงการหลวงและไม่คิดค่าส่งเมื่อสั่งครบ 150
บาท มีกำหนดให้บริการประมาณ 30
วันหรือจนกว่าสินค้าจะหมด กรณีนี้สะท้อนให้เห็นได้ว่ากลยุทธ์กระจายความเสี่ยงของเอ็มเคได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
เนื่องจากในปีที่ผ่านมาได้ตัดสินใจร่วมทุนกับเซนโค
กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด บริษัทโลจิสติกส์จากญี่ปุ่น
ซึ่งเชี่ยวชาญในการขนส่งสินค้าแบบเย็น (Cold Chain) ด้วยรถควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งเป็นรายแรกในไทยที่สามารถให้บริการโลจิสติกส์แบบเย็นได้ครบวงจร
ทำให้เอ็มเคมีความได้เปรียบในการจัดการด้านคุณภาพของสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จะเห็นว่าครั้งนี้นอกจากเอ็มเคจะสามารถระบายสินค้าในสต็อกได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าจะไม่ได้ระดับกำไรเทียบเท่าช่วงเวลาปกติก็เชื่อว่ายังมีกำไร ขณะเดียวกันยังทำให้เห็นว่ากลยุทธ์ที่เลือกใช้นั้นสอดคล้องกับพฤติกรรมเป็นอย่างมาก เพราะทุกคนต้องอยู่บ้าน ต้องกินหรือหันมาทำอาหารกินเองมากขึ้น
ZEN รุดปรับโมเดล
“ครัวกลาง” ประคองรายได้
สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19
ระยะแรก ส่งผลกระทบต่อยอดขายบริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โดยตัวเลขที่ลดลงถึง
20% เนื่องจากรายได้หลักมาจากสาขาในศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า
ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยง ประกอบกับผู้บริโภคจะระมัดระวังเรื่องการใช้จ่ายมากขึ้นเพราะความกังวล
ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้การขยายตัวของช่องทางเดลิเวอรีเพิ่มขึ้น 20%
ขณะที่ร้านอาหารที่ราคาไม่สูงกลับมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
การตีโจทย์ของกลุ่มธุรกิจเซ็นกับภาวะวิกฤตครั้งนี้
สิ่งแรกคือปรับเมนูและโมเดลธุรกิจใหม่ เช่น
ปลาดิบได้รับผลกระทบมากที่สุดทำให้ลดครัวเย็นลง ปรับไปเน้นเมนูปรุงสุก
ขณะเดียวกันเลือกที่จะปรับโมเดลธุรกิจด้วยการหันมาโฟกัสที่ช่องทางเดลิเวอรี่
ด้วยระบบครัวกลาง โดยปรับพื้นที่ครัวของร้านอาหารในเครือ
เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการเดลิเวอรี่ได้อย่างหลากหลาย
เช่น ร้านอาหารญี่ปุ่นเซ็นจะปรับพื้นที่เป็น
‘ครัวกลาง’ ให้กับร้านอาหารต่างๆ ในกลุ่ม ซึ่งเฟสแรกจะปรับ 5 สาขา ได้แก่
สาขาดองกิ มอลล์ ทองหล่อ, สยามสแควร์ วัน,
เดอะมอลล์ บางกะปิ, เดอะแจส วังหิน
และอาคารออล ซีซั่นส์ หรือครัวเขียงจะเข้าไปแบ่งพื้นที่ครัวตำมั่ว, ครัวมุฉะอยู่ในพื้นที่ครัวเซ็น เป็นต้น
เป็นการสลับแบรนด์ร้านอาหารลูกมาอยู่ในครัวแบรนด์หลัก
ซึ่งคาดว่าจะช่วยทำให้มีรายได้อีก 5-10%
อย่างไรก็ตามจะยังคงมีการพัฒนาปรับรูปแบบธุรกิจรูปแบบนี้ต่อไปอีก 1-2 ปีรวมถึงการมองโมเดลธุรกิจใหม่ เช่น การขยายเมนูที่เป็นสตรีทฟู้ดอย่างข้าวมันไก่ ที่จะให้บริการร่วมกับร้านเขียง หรือการทำอาหารกล่อง ข้าวปั้น อาหารทำสำเร็จที่จะไปขายตามจุดต่างๆ เพื่อตอบโจทย์พนักงานออฟฟิศที่ไม่มีเวลามาก ซึ่งจะทำคู่กับการเดลิเวอรีในอนาคต
ไมเนอร์ ประกาศยกระดับ “เดลิเวอรี่” ขั้นสูง
ด้านบริษัท ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้นำในตลาดเชนร้านอาหารด้วยร้านอาหารในเครือ
1,430 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไม่น้อยจากการปิดสาขาชั่วคราวไปแล้วกว่า 500 สาขา ซึ่งเป็นช่องทางที่สร้างยอดขายหลักให้กับไมเนอร์
ทำให้สัดส่วนรายได้ในขณะนี้มาจากที่นั่งกินในร้านเหลือ 0% เดลิเวอรี่เพิ่มเข้ามาเป็น
70% และซื้อกลับบ้านมาเป็น 30% ส่วนบริการไดรฟ์ทรูของจากเบอร์เกอร์คิงเติบโตกว่า
2 เท่าตัว
การปรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่สะท้อนจากรายได้ในแต่ละช่องทาง
ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้ไมเนอร์ต้องปรับกลยุทธ์ไปในทิศทางที่สอดคล้อง เช่น ขยายระยะเวลาให้บริการสำหรับร้านที่ไม่อยู่ในศูนย์การค้า
เช่น เดอะ พิซซ่า คอมปานี และเบอเกอร์คิง จากเดิมเริ่มส่งอาหารเวลา 10.00 น. ได้ขยับมาเป็น
08.00 น. และส่งจนถึง 21.00 โดยจะรับผิดชอบค่าส่งแทนผู้บริโภค 50 บาท
เมื่อสั่งผ่านแอปพลิเคชั่น
สำหรับไมเนอร์ฯ จัดเป็นเชนร้านอาหารที่มีความหลากหลายด้านช่องทางจัดจำหน่ายสูง ทำให้ในสถานการณ์นี้ยิ่งต้องพยายามนำจุดแข็งที่มีมาใช้ประโยชน์สูงสุด โดยการปรับระบบการให้บริการจากเดิมที่แยกเป็นรายแบรนด์ แต่ปัจจุบันนี้จะสามารถใช้บริการรับคำสั่งซื้อและให้เดลิเวอรี่ได้เช่นเดียวกันทั้งหมด เพื่อเพิ่มความสะดวกและเพิ่มโอกาสในการขาย
KFC ย้ำความมั่นใจด้วย “Contactless
Delivery”
สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
เคเอฟซีมีตัวเลขผู้ใช้บริการผ่านช่องทางเดลิเวอรี เพิ่มสูงขึ้น 50%
และบริการไดรฟ์ทรูเพิ่มขึ้น 20%สะท้อนถึงความต้องการสั่งอาหารไปรับประทานที่บ้านเพิ่มขึ้น
หากเทียบกับช่วงปกติ ส่งผลให้สำหรับเคเอฟซี
เลือกที่จะให้ความสำคัญกับมาตรการทางสังคมเพื่อสร้างมั่นใจในการใช้บริการ
เริ่มการหนุนแนวคิดเว้นระยะห่างทางสังคม
(Social Distance) ด้วยบริการใหม่ “Contactless
Delivery” หรือ “บริการส่งอาหารแบบไร้สัมผัส” เพื่อให้มั่นใจว่าการจัดส่งนั้นๆ
จะช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อที่เกิดจากการสัมผัส
ทั้งจากการสัมผัสเงินและการสัมผัสมือ
ผ่าน 3 ขั้นตอนดังนี้ การสั่ง-สั่งผ่านเว็บไซต์ kfc.co.th หรือ
แอปพลิเคชัน KFC Thailand เพื่อเลือกและสั่งเมนูตามต้องการ ใช้บริการ
Contactless ชำระเงินด้วยบัตรเครดิต หรือ Rabbit Line
Pay จากนั้นจะทำการบรรจุสินค้า
ด้วยพนักงานผู้ดูแลออร์เดอร์เป็นคนจัดอาหาร บรรจุ และตรวจคุณภาพอาหารก่อนผูกมัดถุง
และนำอาหารจัดใส่กระเป๋าขนส่งของการจัดส่ง ขั้นตอนการส่งพนักงานส่งเดินทางไปยังจุดหมาย
โทรหาลูกค้า โดยลูกค้าหยิบถุงบรรจุอาหารออกจากกระเป๋าจัดส่งเองและเว้นระยะห่างในการยืนรอ
นอกจากนี้เคเอฟซี เลือกนำแคมเปญรณรงค์ให้ประชาชนอยู่ในที่ตั้งเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อและติดเชื้อจากภายนอก
ผ่านข้อความรณรงค์ให้กำลังใจคนไทย “อยู่บ้าน ยิ้มเข้าไว้
เคเอฟซียังอยู่คอยให้บริการ” ด้วยภาพพนักงานเคเอฟซีจากจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศที่ร่วมส่งกำลังในให้คนไทยและยืนยันว่าจะอยู่ให้บริการเปิดให้บริการร้านเคเอฟซี
บริการเดลิเวอร์รี่ และไดร์ฟทรู ทั่วประเทศ
ในทุกจังหวัดที่ได้รับอนุญาตในการให้บริการ ปัจจุบันเคเอฟซีเปิดให้บริการทั้งสิ้น
810 สาขา ใน 73 จังหวัด โดยมีบริการเดลิเวอรีรวมกว่า 600 สาขา และไดรฟ์ทรูอีก 94
สาขา
เห็นได้ชัดว่าแม้แต่ธุรกิจอาหารรายใหญ่ต่างได้รับผลกระทบหนักจากการระบาดของไวรัสโควิด-19
จนต้องมีการปรับกลยุทธ์ขนาดใหญ่ เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์และพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันที่ต้องกักตัวอยู่บ้าน
เพราะแม้ว่า ‘อาหาร’ จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีพ แต่ด้วยข้อจำกัดต่างๆ ในปัจจุบัน ทำให้รายใหญ่ รายย่อยต่าง ‘ขยับ’ เพื่อทางทางรอด โดยการใช้กลยุทธ์ออนไลน์ที่ต้องใกล้ชิดและง่ายต่อผู้บริโภคมากที่สุด ซึ่งกลยุทธ์เหล่านี้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้านธุรกิจอาหารสามารถนำไปปรับใช้ตามความเหมาะสมได้