ปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนสำหรับจัดการกับไวรัสโควิด 19 มีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนที่พัฒนามาจากเชื้อตาย (inactivated vaccine), วัคซีนชนิดไวรัลเวคเตอร์ (viral vector vaccine), วัคซีนชนิดชิ้นส่วนโปรตีน (protein subunit vaccine) และวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA vaccine) ซึ่งกำลังถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในปัจจุบันว่าอาจสู้กับสายพันธุ์เดลตาได้ Bangkok Bank SME จึงขอนำ 4 ประเด็นที่น่าสนใจมาให้ได้ทราบ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
1. วัคซีน mRNA กระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโควิดได้อย่างไร?
mRNA เป็นสารพันธุกรรมชนิดหนึ่งในสิ่งมีชีวิตรวมถึงไวรัสด้วย
แนวคิดของการพัฒนาวัคซีนด้วย mRNA คือ
เมื่อนำส่งสารพันธุกรรมชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายมนุษย์ ร่างกายจะมีการสร้างโปรตีนหนาม
(Spike Protein) ซึ่งเป็นโปรตีนส่วนที่จะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสโควิด
19 ต่อไป
แต่สารพันธุกรรมนี้มีความคงตัวต่ำ
เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายจะสลายตัวได้อย่างรวดเร็วโดยเอนไซม์ไรโบนิวคลีเอส (Ribonucleases,
RNase)
และอาจไม่คงตัวในเซลล์เนื่องจากกลไกการปกป้องของเซลล์เจ้าบ้าน จึงไม่สามารถนำส่ง mRNA
เข้าสู่ร่างกายโดยตรง
เป็นที่มาของการพัฒนาระบบนำส่งสารพันธุกรรมชนิด
mRNA
นั่นคือการใช้อนุภาคนาโนชนิดไขมัน (lipid nanoparticles, LNP) ซึ่งวัคซีนสำหรับการติดเชื้อไวรัสโควิด 19 ชนิด mRNA
ที่มีการใช้ในปัจจุบันและรู้จักกันคือ Pfizer-BioNTech
COVID-19 vaccine และ Moderna COVID-19 vaccine วัคซีนของทั้ง 2 บริษัทนี้ใช้ระบบอนุภาคนาโนชนิดไขมันเพื่อเพิ่มความคงตัวของ
mRNA และสามารถนำส่ง mRNA เข้าสู่ร่างกาย
แล้วเกิดการกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสโควิด 19 โดยอนุภาคนาโนชนิดไขมัน (Lipid Nanoparticles) คือส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยไม่ต้องอาศัยสารเสริมฤทธิ์
(Adjuvant) อื่นเพิ่มเติม ซึ่งอาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้วัคซีน
mRNA กระตุ้นภูมิคุ้มกันขึ้นได้ค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับวัคซีนชนิดอื่น
2. องค์ประกอบของวัคซีน mRNA
mRNA COVID-19 vaccine ของทั้ง 2 บริษัท มีส่วนประกอบหลัก 3 ส่วน ได้แก่ mRNA ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ (active
ingredient) ของวัคซีน อนุภาคนาโนชนิดไขมัน และสารช่วยอื่นๆ โดยอนุภาคนาโนชนิดไขมันนี้
มีองค์ประกอบหลัก 4 ส่วนได้แก่ คอเลสเตอรอล
ไขมันชนิดประจุบวก (Ionizable Cationic Lipid), ไขมันชนิดเป็นกลาง (Neutral Lipid) และไขมันชนิด PEGylated
(PEGylated Lipid) ซึ่งสารแต่ละชนิดมีหน้าที่แตกต่างกัน
โดยสารที่ทั้ง 2 บริษัทเลือกใช้มีอนุภาคนาโนชนิดไขมันที่บรรจุ
mRNA มีขนาดอนุภาคอยู่ในช่วง 60-100
นาโนเมตร
3.
ความคงตัวและการเก็บรักษาวัคซีน mRNA
เนื่องด้วย mRNA มีความไม่คงตัวมากกว่าอนุภาคนาโนชนิดไขมัน ดังนั้น mRNA จึงถูกห่อหุ้มไว้ด้านในอนุภาค และโมเลกุลของน้ำล้อมรอบโมเลกุลของ mRNA
อยู่ภายในอนุภาคนาโนด้วย เนื่องจาก mRNA เป็นโมเลกุลที่ละลายในน้ำได้ดี
อย่างไรก็ตาม น้ำที่ล้อมรอบ mRNA อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการเสื่อมสลายของ
mRNA โดยปฏิกิริยา Hydrolysis (ปฏิกิริยาที่มีน้ำเข้าไปสลายพันธะ)
ทำให้วัคซีนชนิดนี้ต้องเก็บในสภาวะที่ถูกแช่แข็งที่อุณหภูมิต่ำมากๆ
ตลอดเวลาเพื่อเพิ่มความคงตัวของ mRNA ในระหว่างการเก็บรักษา
การขนส่งหรือการกระจายวัคซีน
จากข้อมูลความคงตัวของวัคซีนทั้ง 2 บริษัท
ที่มีการเปิดเผยออกสู่สาธารณะ
ระบุความคงตัวและการเก็บรักษาสำหรับขวดวัคซีนที่ยังไม่ได้เปิดใช้ โดยสรุปดังนี้
Pfizer-BioNTech COVID-19 vaccine
- สำหรับขวดวัคซีนที่แช่แข็ง
เก็บที่อุณหภูมิ -90 ถึง -60 องศาเซลเซียส ได้เป็นเวลา 6 เดือน
โดยในช่วงเวลาดังกล่าว สามารถเก็บและขนส่งที่อุณหภูมิ -25 ถึง -15 องศาเซลเซียส
ได้เพียง 1 ครั้ง เป็นเวลา 2 สัปดาห์เท่านั้น และสามารถนำกลับไปแช่แข็งที่อุณหภูมิ
-90 ถึง -60 องศาเซลเซียสได้
- สำหรับขวดวัคซีนที่ละลายน้ำแข็งแล้ว
ที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส มีอายุ 1 เดือน ที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส
Moderna COVID-19
vaccine
เก็บขวดวัคซีนในรูปสารแขวนลอยที่แช่แข็งที่อุณหภูมิ
-25 ถึง -15 องศาเซลเซียส ได้เป็นเวลา 7 เดือน และเมื่อเก็บในตู้เย็นที่อุณหภูมิ
2-8 องศาเซลเซียสและป้องกันแสง วัคซีนมีอายุ 30 วัน
อย่างไรก็ตามเอกสารกำกับยาของวัคซีนทั้ง 2
บริษัท มีระบุรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการเก็บรักษา การเจือจาง การขนส่ง
อายุของวัคซีนขณะเก็บรักษาที่อุณหภูมิต่างๆ อายุของวัคซีนขณะขนส่ง
และอายุของวัคซีนหลังเจือจางไว้อย่างละเอียด ซึ่งสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากเอกสารกำกับยาของวัคซีนทั้ง
2 บริษัทได้
4. ข้อกังวลที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับวัคซีน
mRNA
4.1 เกิดการกลายพันธุ์ในมนุษย์ได้หรือไม่?
จากข้อมูลในปัจจุบันพบว่า กลไกการออกฤทธิ์ของวัคซีนชนิดนี้ไม่มีการรบกวนการทำงานของนิวเคลียส
ซึ่งบรรจุดีเอ็นเอ (DNA)
ที่เป็นสารพันธุกรรมหลักของมนุษย์ไว้ภายใน อย่างไรก็ตามวัคซีนชนิดนี้ถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ของการพัฒนาวัคซีน
จึงยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียงในระยะยาว
4.2 มีอาการข้างเคียงอะไรบ้าง?
- อาการข้างเคียงที่พบบ่อยแต่มีความรุนแรงต่ำ
คืออาการข้างเคียงหลังฉีดวัคซีน เช่น เจ็บบริเวณที่ฉีด ไข้ หนาวสั่น
ซึ่งส่วนใหญ่จะหายไปภายใน 2-3 วัน
- อาการข้างเคียงชนิดรุนแรงแต่พบได้น้อยมาก
เช่น อาการแพ้แบบรุนแรง (anaphylaxis) ซึ่งพบได้ประมาณ
10 ราย จากการฉีดวัคซีน 1 ล้านโดส
(ส่วนใหญ่เกิดภายใน 15 นาทีหลังฉีด
ซึ่งอาจเกิดจากส่วนประกอบของไขมันชนิด PEGylated ที่มีรายงานว่าอาจก่อให้เกิดการแพ้ได้บ้าง
รวมถึงอาจเกิดจากส่วนประกอบอื่นๆ ของวัคซีน)
รวมถึงมีรายงานการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในประชากรเพศชายอายุน้อย ซึ่งส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง
จากข้อมูลในปัจจุบันพบประมาณ 12-18 ราย
จากการฉีดวัคซีน 1 ล้านโดส
4.3 มีส่วนประกอบของแม่เหล็กหรือไม่?
จากข้อมูลส่วนประกอบดังที่ระบุในเอกสารกำกับยาของวัคซีนทั้ง
2 บริษัทนี้ ไม่มีส่วนประกอบของสารที่มีคุณสมบัติเป็นแม่เหล็กอยู่ในวัคซีนดังที่มีการส่งต่อข้อมูลกันในสื่อออนไลน์
แหล่งอ้างอิง : https://pharmacy.mahidol.ac.th/