Net Promoter Score (NPS) หรือดัชนีของลูกค้า ผู้ซึ่งจะแนะนำองค์กรหรือแบรนด์ของเราต่อคนรอบข้าง
สามารถสะท้อนถึงความพึงพอใจ ใช้ชี้วัดข้อมูลเกี่ยวกับความความภักดีของลูกค้า (Customer
Loyalty) ได้ โดยเป็นตัวชี้วัดหนึ่งที่นิยมในปัจจุบัน สำหรับการวัดผลเรื่องของคุณภาพบริการต่อความผูกพันระยะยาวของลูกค้าซึ่งในสากลมีองค์กรต่างๆ
ที่นำ NPS มาใช้เป็นเครื่องมือวัดผลอยู่ไม่น้อย
NPS เป็นแนวคิดที่ได้รับการพัฒนาจาก Fred
Reichheld โดยบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำ Bain & Company, and
Satmetrix (และได้ถูกจดเป็น Registered Trademark ไปแล้ว) โดยแนวคิดนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Harvard Business
Review ในปี 2003 ในบทความชื่อ ‘The
one number you need to grow’
ซึ่งค่า NPS จะสามารถทำให้องค์กรรับรู้ระดับความสามารถในการแข่งขันขององค์กรเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
หรือเทียบกับค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม ปัจจุบันองค์กรต่างๆ
ในประเทศไทยได้มีการนำเครื่องมือ NPS มาใช้เพื่อการปรับปรุงสินค้าและบริการให้สามารถตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้าได้ดีมากยิ่งขึ้น
ในส่วนของวิธีการได้มาซึ่งข้อมูล ส่วนใหญ่องค์กรจะส่งคำถามเกี่ยวกับ NPS ให้ลูกค้าทาง Email หรือใช้วิธีสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์
เป็นต้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
หลักการคำนวณ NPS
สำหรับการสำรวจเริ่มจากการกำหนดหรือออกแบบตัววัดผลจากกลยุทธ์ขององค์กร
แล้วนำหลักคิด NPS มาช่วยในการสรุปผล ส่วนการเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการคำนวณหาค่า
NPS จะต้องมีการถามคำถามกับลูกค้าที่ว่า “ท่านจะแนะนำบริษัท/สินค้า/บริการให้กับเพื่อนหรือคนคุ้นเคยหรือไม่”
และจะนำผลนั้นมาแบ่งกลุ่มลูกค้าออกเป็น 3 กลุ่มได้แก่
- ลูกค้าที่พึงพอใจมาก
(Promoters)
หรือคนที่ตอบ 9-10
- ลูกค้าที่พึงพอใจระดับปานกลาง
(Passives)
หรือคนที่ตอบ 7-8
- ลูกค้าที่ไม่พึงพอใจ
(Detractors)
หรือคนที่ตอบ 0-6
หลักการคิด NPS คือการนำ
% ของลูกค้าที่พึงพอใจมาก (Promoters) ลบด้วย %
ของลูกค้าที่ไม่
พึงพอใจ (Detractors)
สิ่งสำคัญของการวิเคราะห์ Promoter
กับ Detractors จะเห็นได้ว่าค่าของ Promoters
นั้นไม่ได้เยอะมาก ผิดกับ Detractors ที่จะมีช่วงมากกว่า
นอกจากนี้แล้ว ในงานวิจัยและการศึกษานั้นมักพบว่าถ้าต้องการ ‘หักล้าง’ Detractors จริงๆ
นั้น องค์กรใช้ Promoters มากกว่า Detractors ถึง 5 เท่าเลยทีเดียว
ทั้งนี้องค์กรควรนำค่า NPS
มาเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม
เพื่อที่จะสามารถรู้ตำแหน่งขององค์กรได้เมื่อเทียบกับคู่แข่งอื่นๆ และค่าเฉลี่ย NPS
ในแต่ละอุตสาหกรรมค่อนข้างมีความหลากหลายแตกต่างตามแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม
เช่น ค่าเฉลี่ย NPS ของอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคอาจจะเป็น
70 แต่ในธุรกิจการเงินค่าเฉลี่ยอาจจะอยู่ที่ 80
ดังนั้นองค์กรควรมีการกำหนดและทำการเปรียบเทียบค่า
NPS
ในอุตสาหกรรมที่ถูกต้องหรือใกล้เคียง หากองค์กรมีค่า NPS สูงเมื่อเทียบกับองค์กรอื่นในกลุ่มอุตสาหกรรมก็จะมีแนวโน้มที่ลูกค้าขององค์กรจะไม่เปลี่ยนไปใช้แบรนด์อื่น
NPS เป็นเครื่องมือที่องค์กรสามารถนำมาใช้
เพื่อเป็นการช่วยกำหนดทิศทางในการพัฒนาความสามารถในการตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้า
และสร้างความผูกพันต่อองค์กรได้ดีมากยิ่งขึ้น
โดยเป็นเครื่องมือที่นำไปประยุกต์ใช้ได้ง่าย องค์กรทุกขนาดตั้งแต่ SME ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่สามารถนำไปใช้ได้
ไม่มีการใช้เทคนิคทางสถิติที่ซับซ้อนมาก
แต่สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กรได้
จากการสำรวจของหลายงานวิจัยพบว่า NPS
มีความสัมพันธ์กับอัตราการเจริญเติบโตของบริษัท โดยองค์กรที่มีค่า NPS
สูงมักมีอัตราการเติบโตสูงกว่าบริษัทคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม NPS
นั้นไม่ได้อธิบายเหตุผลของการไม่แนะนำบริษัท/สินค้า/บริการ
ให้กับเพื่อนหรือคนคุ้นเคย
ดังนั้น เพื่อให้การสำรวจมีความสมบูรณ์ขึ้นอาจเพิ่มคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่ลูกค้าชอบ
หรือสิ่งที่ลูกค้าเห็นว่าควรต้องปรับปรุง
เพื่อทำให้ผู้บริหารทราบถึงจุดแข็งและจุดอ่อนขององค์กร
รวมทั้งสามารถวางแนวทางในการพัฒนาปรับปรุงสินค้า - บริการต่อไป