ช่วงนี้ประเทศไทยมีร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ดังนั้นนอกจากการดูแลตัวเองไม่ให้ตากฝนแล้ว สิ่งที่ควรรู้ก็คือ ‘โรคที่ช่วงน้ำท่วมและหลังน้ำลด’ เพื่อการป้องกันหรือรักษาได้อย่างทันท่วงที
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
1. โรคติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร
โรคอุจจาระร่วง อหิวาตกโรค อาหารเป็นพิษ บิด
ตับอักเสบเอ และไข้ไทฟอยด์ เป็นต้น เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายโดยการกินหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป
เช่น อาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ อาหารที่มีแมลงวันตอม อาหารที่ทิ้งค้างคืนโดยไม่ได้แช่เย็น
และไม่ได้อุ่นให้ร้อนก่อนรับประทานอาหาร
- โรคอุจจาระร่วง
มีอาการถ่ายอุจจาระเหลว หรือถ่ายมีมูกเลือด อาจมีอาเจียนร่วมด้วย
- อาหารเป็นพิษ
มักมีอาการปวดท้อง ร่วมกับถ่ายอุจจาระเหลว คลื่นไส้ อาเจียน อาจมีอาการปวดศีรษะ
ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว
- โรคบิด
มีอาการสำคัญคือ ถ่ายอุจจาระบ่อย อุจจาระมีมูก หรือมูกปนเลือด มีไข้ ปวดท้องและมีปวดเบ่งร่วมด้วย
บางคนอาจมีอาการเรื้อรัง
- โรคไข้ไทฟอยด์
หรือไข้รากสาดน้อย มีอาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร
อาจมีอาการท้องผูก หรือบางรายอาจท้องเสียได้
การป้องกัน :
ควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ ไม่มีแมลงวันตอม ดื่มน้ำต้มสุก หรือน้ำสะอาด ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนปรุงอาหาร
หรือก่อนกินอาหาร และควรถ่ายอุจจาระในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ กำจัดสิ่งปฏิกูล
ขยะมูลฝอย เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงวัน
2. โรคระบบทางเดินหายใจ (ไข้หวัด
ไข้หวัดใหญ่ และปอดบวม)
- ไข้หวัด :
ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ติดต่อได้จากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
โดยเชื้อโรคแพร่กระจายมาจากน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ หรือสิ่งของใช้ของผู้ป่วย มักมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว
มีไข้เล็กน้อย คัดจมูก มีน้ำมูกใสๆ ไอ จาม ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามร่างกาย อ่อนเพลีย
และเบื่ออาหาร หายได้เองภายใน 1 สัปดาห์
- ไข้หวัดใหญ่ :
เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ติดต่อแบบเดียวกับไข้หวัด มักมีไข้สูง ปวดศีรษะ
ปวดเมื่อยตามตัวมาก มีน้ำมูกไหล คัดจมูก ไอ จาม เจ็บคอ เบื่ออาหาร และอ่อนเพลีย
อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนเป็นปอดบวมได้
- โรคปอดบวม :
เกิดได้จากเชื้อหลายชนิดทั้งแบคทีเรีย ไวรัส โดยการหายใจเอาเชื้อโรคในอากาศเข้าไป
หรือสำลักน้ำหรืออาหารเข้าไปในปอด ทำให้มีการอักเสบของปอด มีไข้สูง ไอมาก
หายใจหอบและเร็ว ถ้าเป็นมากจะหายใจหอบเหนื่อยจนเห็นชายโครงบุ๋ม เล็บมือ เล็บเท้า
ริมฝีปากซีด หรือเขียวคล้ำ กระสับกระส่าย ไม่รู้สึกตัว
โรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดได้หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม เช่น
น้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด, หนองในช่องเยื่อหุ้มปอด,
ปอดแตกและมีลมรั่วในช่องปอด หรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
การป้องกัน :
ล้างมือบ่อยๆ ก่อนกินอาหาร ก่อนและหลังเตรียม/ปรุงอาหารหลังการขับถ่าย หลังหยิบจับสิ่งสกปรก
หลังสัมผัสผู้ป่วย หรือสัมผัสสัตว์เลี้ยง และทุกครั้งที่กลับจากนอกบ้าน
หลีกเลี่ยงการใช้มือที่ไม่ได้ล้างสัมผัสบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะตา จมูก ปาก
หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยหรืออยู่ในสถานที่ที่มีคนอยู่แออัด
อากาศถ่ายเทไม่สะดวก
3. โรคไข้ฉี่หนู (เลปโตสไปโรซิส)
เป็นโรคติดต่อที่ระบาดจากสัตว์โดยเฉพาะหนู
ติดต่อมาถึงคนได้โดยเชื้อจะออกมากับปัสสาวะหนูแล้วปนเปื้อนในน้ำ หรือดินที่มีน้ำขังหรือพื้นที่ขึ้นแฉะ
เชื้อเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล รอยขีดข่วน รอยถลอก หรือไชเข้าเยื่อบุตา จมูก ปาก หรือผิวหนังที่แช่น้ำนาน
หรืออาจติดเชื้อจากการรับประทานอาหารที่หนูฉี่รด
ช่วงน้ำท่วมมักจะเกิดการระบาดได้ในหลายพื้นที่
และช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคมากที่สุดคือช่วงน้ำลด
เนื่องจากคนจะลุยน้ำ ย่ำโคลน เพื่อทำความสะอาดบ้านเรือน ทำให้เกิดบาดแผลจากกระจก
แก้ว ตะปู และของมีคมอื่นๆ เปิดโอกาสให้เชื้อเข้าร่างกายได้มากขึ้น
การป้องกัน :
หลีกเลี่ยงการย่ำหรือแช่น้ำหรือโคลนนานๆ โดยเฉพาะเมื่อมีบาดแผลตามแขน ขา มือ เท้า
ถ้ามีความจำเป็นต้องย่ำหรือแช่น้ำ ควรสวมรองเท้าบู๊ท สวมถุงมือยาง ชำระล้างร่างกาย
โดยเฉพาะบริเวณบาดแผลให้สะอาด หลังจากลุยน้ำ/ขึ้นจากน้ำทันที ดูแลที่พักให้สะอาด
ปราศจากหนู เก็บกวาดทิ้งขยะให้มิดชิดไม่ให้เป็นแหล่งอาหารของหนู
4. โรคผิวหนัง
เป็นโรคที่พบบ่อยได้แก่โรคน้ำกัดเท้าจากเชื้อรา
แผลพุพองเป็นหนอง เป็นต้น เกิดจากการย่ำน้ำหรือแช่น้ำที่มีเชื้อโรค
หรือความอับชื้นจากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ไม่สะอาด ไม่แห้งเป็นเวลานาน
ในระยะแรกอาจมีอาการเท้าเปื่อย และเป็นหนอง ต่อมาเริ่มมีอาการคันตามซอกนิ้วเท้า
และผิวหนังลอกออกเป็นขุย มีผื่น ระยะหลังๆ ผิวหนังที่เท้าเกิดพุพอง นิ้วเท้าหนาและแตก
อาจเกิดโรคแทรกซ้อน คือ ผิวหนังอักเสบได้
การป้องกัน :
หลีกเลี่ยงการย่ำน้ำโดยไม่จำเป็น ถ้าจำเป็นต้องย่ำน้ำ ควรใส่รองเท้าบู๊ทกันน้ำ
และควรล้างเท้าให้สะอาดด้วยน้ำสบู่และเช็ดให้แห้ง เมื่อกลับเข้าบ้าน หากมีบาดแผล
ควรใช้แอลกอฮอล์เช็ดแผล แล้วทาด้วยยาฆ่าเชื้อ เช่นเบตาดีน
5. โรคตาแดง
โรคตาแดงเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายทั้งเด็กและผู้ใหญ่
ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส แต่ถ้าไม่รับการรักษาตั้งแต่เริ่มเป็นอาจติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้
ติดต่อจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ได้แก่การสัมผัสโดยตรงกับน้ำตา ขี้ตา น้ำมูกของผู้ป่วย
หรือจากใช้สิ่งของเครื่องใช้ร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว
หรือจากแมลงวันแมลงหวี่ตอมตา หลังได้รับเชื้อประมาณ 1-2 วัน จะเริ่มมีอาการระคายเคืองตา ปวดตา น้ำตาไหล
กลัวแสง มีขี้ตามาก หนังตาบวม เยื่อบุตาขาวอักเสบแดง โดยอาจเริ่มที่ตาข้างหนึ่งก่อน
แล้วจึงลามไปตาอีกข้าง อาการมักหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ถ้าไม่ดูแลรักษาให้ถูกวิธี อาจเกิดอาการแทรกซ้อน เช่น
กระจกตาดำอักเสบ ทำให้ปวดตา และตามัว
การป้องกัน :
ทำได้โดยล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอ ไม่คลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วย
และหมั่นดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น เสื้อผ้า
ผ้าเช็ดตัว ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนให้สะอาดอยู่เสมอ
6. ไข้เลือดออก
เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี่โดยมียุงลายเป็นพาหะ
อาจเกิดอาการได้ตั้งแต่ไข้ล็กน้อย หรือไข้สูงลอย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว หน้าแดง
จุดเลือดออกตามผิวหนัง หรือมีอาการรุนแรงมีเลือดออกหรือช็อคได้
การป้องกัน :
ระวังอย่าให้ยุงกัด ทายากันยุง นอนในมุ้ง กำจัดลูกน้ำและแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
ปิดฝาภาชนะเก็บน้ำไม่ให้มีน้ำขัง
แหล่งอ้างอิง : โรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่