เก็บภาษี ‘e-Service’ ดีเดย์ 1 ก.ย. นี้ มีผลอย่างไรกับภาคธุรกิจ?
หลังจากมีการประกาศใช้ กฎหมาย e-Service หรือภาษี e-Service
ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 กันยายนนี้ โดยเป็นวิธีการจัดเก็บ VAT จากผู้ให้บริการต่างประเทศ
และแพลตฟอร์มต่างประเทศที่ให้บริการทาง Online แก่ผู้ใช้บริการในประเทศไทย
ที่มีรายได้จากการให้บริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี
โดยให้อำนาจกรมสรรพากรเป็นผู้จัดเก็บในอัตรา 7% ต่อปี ซึ่งให้เสียภาษีจาก
‘ภาษีขาย’ โดยไม่ให้นำภาษีซื้อมาหัก
โดยที่ผ่านมาผู้ประกอบการในประเทศที่ให้บริการ e-Service ต้องจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่ม มีหน้าที่ยื่นแบบฯ และชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม ขณะที่ผู้ประกอบการต่างประเทศไม่ต้องดำเนินการดังกล่าว ส่งผลให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการเสียมูลค่าเพิ่ม เกิดความได้เปรียบ-เสียเปรียบในการทำธุรกิจ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ส่งผลให้ต้องมี ‘ทางออก’ ตามมาตรฐานสากล
ดังนั้นนานาประเทศจึงได้ร่วมกันกำหนดแนวทางแก้ปัญหานี้
ด้วยการทำตามคำแนะนำของ OECD (องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ)
โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการต่างประเทศ
ต้องจดทะเบียนและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มแก่หน่วยงานจัดเก็บภาษี
ซึ่งปัจจุบันมีประเทศที่ทำตามคำแนะนำนี้มากกว่า 60 ประเทศทั่วโลก
เช่น ออสเตรเลีย เบลเยียม สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส สเปน สิงคโปร์ เป็นต้น
ภาษีนี้..มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจใดบ้าง?
ได้แก่ผู้ประกอบการที่ให้บริการ e-Service จากต่างประเทศ อาทิเช่น บริการดาวน์โหลด
หนัง/ภาพยนตร์ เพลง เกม สติกเกอร์ สื่อโฆษณา เป็นต้น
และแพลตฟอร์มต่างประเทศที่ให้บริการในไทย เช่น Apple, Google, Facebook,
Netflix, Line, YouTube, TikTok ซึ่งมีรายได้มากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี
‘กรมสรรพากร’ มีหน้าที่อย่างไรบ้าง?
- ด้านกฎหมาย : กรมสรรพากรได้ดำเนินการแก้ไขประมวลรัษฎากรตามแนวทางของ
OECD
(ฉบับที่…) พ.ศ. (การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ
e-Service) โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการจากต่างประเทศที่มีรายได้มากกว่า
1.8 ล้านบาทต่อปี
ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มยื่นแบบแสดงรายการ ภายใต้ระบบ pay-only (ห้ามหักภาษีซื้อ) ไม่ต้องจัดทำใบกำกับภาษีและรายงานภาษีซื้อ
- ด้านระบบอำนวยความสะดวกและการให้บริการ
: กรมสรรพากรได้พัฒนาระบบ Simplified VAT
System for e-Service (SVE) เป็นระบบการจดทะเบียน การยื่นแบบฯ และการชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม
ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับ Best Practice ของต่างประเทศ
โดยสามารถดำเนินการได้ที่ www.rd.go.th เว็บไซต์ของกรมสรรพากร
- การตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมาย
O สามารถเรียกเชิญพบหรือออกหมายไปยังผู้ประกอบการเพื่อตรวจสอบและประเมินเรียกเก็บภาษี
O ออกหมายเรียกพยานผู้เกี่ยวข้อง เช่น
สถาบันการเงินต่างๆ เพื่อขอข้อมูลการทำธุรกรรมผ่านสถาบันการเงิน
O การแสดงรายชื่อผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
ผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ทำให้ผู้บริการอื่นๆ สามารถตรวจสอบได้
นอกจากนี้กรมสรรพากรยังได้ร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีระหว่างประเทศด้วย
เช่น การเข้าภาคีความตกลง Multilateral convention on Mutual
Administrative Assistance in Tax (MAC) ซึ่งมีบทบัญญัติครอบคลุมการแลกเปลี่ยนข้อมูลทุกรูปแบบ
รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลอัตโนมัติระหว่างประเทศด้วย
ข้อดี ภาษี ‘e-Service’
-
สร้างความเป็นธรรมในการเสียภาษีระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ประกอบการจากต่างประเทศ
- ช่วยปิดช่องโหว่ของกฎหมาย
โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการที่ให้บริการ e-Service
ต่างประเทศ ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ยื่นแบบฯ และนำส่งภาษี
เช่นเดียวกับผู้ประกอบการในประเทศ
- ยกระดับการบริหารจัดเก็บภาษีในไทย สอดรับกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลกและรูปแบบการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน
- สามารถสร้างรายได้ให้ประเทศ ปีละประมาณ 5,000 ล้านบาท
ทำไมทุกประเทศอยากเก็บ
"ภาษีธุรกิจบริการดิจิทัล"
ธนาคารโลก (World Bank) ได้เปิดเผยข้อมูลว่า ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา "เศรษฐกิจดิจิทัล"
มีสัดส่วนกว่า 15.5% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมทั่วโลก (GDP)
และเติบโตรวดเร็วกว่าจีดีพีโลกถึง 2.5 เท่า จึงเป็นผลให้ในปี 2561
คณะกรรมาธิการยุโรป (EC)
เสนอพิจารณาการจัดเก็บภาษีธุรกิจบริการดิจิทัล (Digital Service Tax : DST) อัตรา 3%
ของรายได้ที่มาจากการให้บริการโฆษณาออนไลน์
รายรับหรือรายได้ที่มาจากกิจกรรมการเป็นตัวกลางทางดิจิทัล
และยอดขายของข้อมูลที่มีการเก็บรวบรวมของผู้ใช้
เพื่อสร้างความเท่าเทียมสำหรับผู้ประกอบการและนำรายได้จากภาษีไปพัฒนาประเทศต่อไป
Facebook และ Google เอาด้วย! ซื้อโฆษณาต้องจ่าย VAT 7%
ข่าวล่าสุดสำหรับคนทำธุรกิจที่ต้องยิงแอดโฆษณาเฟซบุ๊กและกูเกิล
ต้องจ่ายเงินค่าภาษีเพิ่ม 7% เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 64 เป็นต้นไป หมายความว่า ต้นทุนของธุรรกิจจะเพิ่มขึ้น
7% ทันที การบริการงบประมาณทำการตลาดจะต้องคิดให้มากขึ้น
เช่น ยิงแอดโฆษณา 10,000 บาท แต่เดิมจ่าย 10,000 บาท แต่พอมี Vat 7% เพิ่มเข้ามา ธุรกิจต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก
700 บาท เป็น 10,700 บาทนั่นเอง
หากธุรกิจจำเป็นต้องซื้อแอดโฆษณา
Facebook หรือ Google ควรทำอย่างไร?
1. เพิ่มรายได้ด้วยการขายสินค้าเป็นแพ็กเกจ
โดยเวลาธุรกิจของคุณยิงแอดโฆษณา
ไม่ควรขายของชิ้นเดียว ให้นำเสนอสินค้าแบบเป็นแพ็กเกจ เป็นโปรโมชั่นกระตุ้นลูกค้า เช่น
1 ชิ้น 500 บาท แต่ซื้อ 2 ชิ้นลดให้ 300
บาท กำไรอาจลดลง แต่รายได้ต่อครั้งเพิ่มขึ้น
2.
คิดต้นทุนส่วนนี้เข้าไปด้วย
นำไปบวกกับต้นทุนการขายสินค้าเดิม เช่น ค่าสินค้า
ค่าขนส่ง ค่ากล่อง ค่าแพ็ก ค่ายิงแอดโฆษณาต่างๆ แล้วรวมภาษี Vat
7% เข้าไปด้วย
3. ลดต้นทุนด้วยการโฆษณาแพลตฟอร์มอื่นๆ
เพราะลูกค้าของคุณยังกระจายอยู่ตัวในแพลตฟอร์มอื่นๆ
เช่น LINE,
TikTok, YouTube ดังนั้นลองหันมีโฆษณาในแพลตฟอร์มเหล่านี้ เพื่อลดต้นทุน
หาลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มเติม
4. รักษาลูกค้าเก่าไว้ให้ได้
โดยส่วนใหญ่ธุรกิจในบ้านเรามักมีรายได้หลักมาจากลูกค้าเก่า
ซึ่งถือเป็นแหล่งรายได้สำคัญ แม้การหาลูกค้าใหม่เป็นสิ่งที่ดี
แต่การรักษาลูกค้าเก่าคือสิ่งที่จำเป็นมากกว่า ดังนั้นจึงควรหากลยุทธ์รักษาฐานลูกค้าเก่าให้ภักดีต่อแบรนด์ของเราให้ได้
แหล่งอ้างอิง :
https://www.bangkokbiznews.com/
https://news.bloombergtax.com/