โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(อีอีซี) เป็นการพัฒนาในพื้นที่ 3
จังหวัด ได้แก่ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อทางเศรษฐกิจที่สำคัญทั้งทางบก
ทะเลและอากาศของภูมิภาคอาเซียน โดยรัฐบาลได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ทั้งรถไฟความเร็วสูง
เมืองการบินและท่าเรือ เพื่อดึงดูดการลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปี 2561 สถิติการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ประกอบด้วย 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง มีจำนวน 7,078 ราย เพิ่มขึ้น 5.47% เทียบกับช่วงเดียวกันปี 2560 ที่มียอดจัดตั้งธุรกิจ 6,711 ราย โดยมีทุนจดทะเบียนจัดตั้ง 1.97 หมื่นล้านบาท ลดลง 26.30% เทียบกับช่วงเดียวกันปี 2560 ที่มีทุนจัดตั้ง 2.68 หมื่นล้านบาท
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
ปัจจุบันมีนิติบุคคลคงอยู่ในพื้นที่อีอีซี จำนวน 6.68 หมื่นราย ทุนจดทะเบียน 1.84 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น ฉะเชิงเทา 5,203 ราย คิดเป็นสัดส่วน 7.79% มูลค่าทุนจดทะเบียน 1.75 แสนล้านบาท ชลบุรี 4.90 หมื่นราย คิดเป็นสัดส่วน 73.33% มูลค่าทุนจดทะเบียน 1.08 ล้านล้านบาท และระยอง 1.26 หมื่นราย คิดเป็นสัดส่วน 18.88% มูลค่าทุนจดทะเบียน 5.83 แสนล้านบาท ส่วนขนาดธุรกิจในพื้นที่อีอีซี
เป็นธุรกิจขนาดกลางและย่อม (SMEs) คิดเป็นสัดส่วน ถึง 98.10%
แนวโน้ม ในปี 2562
การจัดตั้งธุรกิจในพื้นที่อีอีซี จะเพิ่มขึ้นประมาณ 5% สอดคล้องกับแนวทางส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซีของรัฐบาลในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่จะมีการลงทุนทั้งผู้ประกอบการไทยและต่างชาติ ส่งผลดีต่อการจัดตั้งธุรกิจเพื่อประกอบกิจการรองรับการลงทุนในอีอีซี โดยเฉพาะธุรกิจบริการก่อสร้าง ขนส่ง ร้านอาหาร ที่พัก เพื่อรองรับนักลงทุนทั่วโลก
ช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ (ม.ค.-มี.ค.62) สถิติการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(อีอีซี) มีจำนวน 2,033 ราย เพิ่มขึ้น 5.01% เทียบกับช่วงเดียวกันปี 61 ที่มียอดจัดตั้งธุรกิจ 1,936 ราย
โดยมีทุนจดทะเบียนจัดตั้ง 5,880 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53.38 % โดยประเภทธุรกิจที่มีการจัดตั้งสูงสุด 3 อันดับแรกยังเป็นเหมือนปีที่ผ่านมา
คือ อสังหาริมทรัพย์ รองลงมาคือก่อสร้างอาคารทั่วไป
และภัตตาคารและร้านอาหาร
ส่วนสถิติการลงทุนของต่างชาติในนามนิติบุคคลไทย
(ถือหุ้นไม่เกิน 49.99%) ที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่อีอีซี มีมูลค่าทั้งสิ้น 716,952
ล้านบาท
คิดเป็น 38.44% ของมูลค่าทุนทั้งหมด โดยเป็นการถือหุ้นของต่างชาติในนามนิติบุคคลไทย
5 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น มูลค่าทุน
364,937.29 ล้านบาท สิงคโปร์ 63,139.99 ล้านบาท จีน 54,400.84 ล้านบาท สหรัฐ 28,574.72 ล้านบาท และเกาหลีใต้ 20,755.46 ล้านบาท
รองรับ ตลาดแรงงาน 1.5 ล้านคน
ด้านตลาดแรงงานได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยรัฐบาลคาดการณ์ว่าจะมีความต้องการแรงงานในพื้นที่อีอีซีราว 1.5 ล้านคน กระทรวงแรงงานได้ทำการศึกษาความต้องการแรงงานในพื้นที่อีอีซี พบว่า ความต้องการแรงงานของกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกในช่วง 5 ปี (2562-2566) มีความต้องการแรงงาน จำนวน 475,667 อัตรา
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงาน ได้จัดตั้งศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(EEC Labour Administration
Center) เพื่อวางแผนพัฒนาทักษะฝีมือให้ตรงกับความต้องการ
โดยมีแผนงานขับเคลื่อน แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่
1.แผนระยะสั้น (ปี 2562) พัฒนาแรงงานเข้าสู่ระบบการจ้างงาน
ในปัจจุบันมีสถานประกอบกิจการ จำนวน 1,011 แห่ง มีความต้องการแรงงาน ใน 14,767
อัตรา
2.แผนระยะกลาง 1-5 ปี สำรวจความต้องการแรงงานใน 10
อุตสาหกรรมเป้าหมาย ส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการพัฒนาพนักงานของตนเองปีละกว่า
580,000 คน ให้เป็นแรงงานคุณภาพ สร้างระบบฐานข้อมูลแบบ Big Data เชื่อมโยงข้อมูลสู่ระบบบริหารจัดการในพื้นที่
สร้างเครือข่ายการพัฒนาฝีมือแรงงานและหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน
ตรวจลงตราวีซ่าและออกใบอนุญาตทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
3.แผนระยะยาว 6-10 ปี เชื่อมโยงข้อมูลความต้องการแรงงาน (Demand) กำลังแรงงาน (Supply) ด้วยระบบ Digital ครบวงจร จัดวางหลักสูตรการพัฒนาทักษะตามความต้องการของ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย อำนวยความสะดวกแก่แรงงาน นายจ้าง และนักลงทุน บน Digital Platform อย่างเต็มรูปแบบ สร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ
ถือเป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษาและสถานประกอบการในการพัฒนาแรงงานที่มีทักษะฝีมือขั้นสูง เพื่อตอบรับการขยายตัวของธุรกิจในพื้นที่อีอีซี