เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา เวียดนามได้วางยุทธศาสตร์การค้าและการลงทุนที่สำคัญกับประเทศอย่างมาก
หนึ่งในนั้นคือการทำเขตการค้าเสรีเวียดนามกับสหภาพยุโรป (European Union Vietnam Free Trade Agreement : EU-VN FTA) เหตุผลเพราะ
1.ช่วยเปิดตลาดสหภาพยุโรป(อียู)สำหรับสินค้าเวียดนามให้กว้างและได้เปรียบคู่แข่งขันมากยิ่งขึ้น
2.ช่วยยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
ยุทธศาสตร์ดังกล่าวสัมฤทธิ์ผลเมื่อวันที่ 30
มิ.ย.ที่ผ่านมา สหภาพยุโรป(อียู)และเวียดนามได้ลงนามข้อตกลงเปิดการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรป-เวียดนาม(
European Union-Vietnam Free Trade Agreement:EVFTA) และข้อตกลงการคุ้มครองการลงทุนเวียดนาม-
สหภาพยุโรป (EU
– Vietnam Investment Protection Agreement : EVIPA) อย่างเป็นทางการ
ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม และมีผลบังคับใช้ภายในปี 2562 โดยเนื้อหากรอบข้อตกลงทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน
เปิดตลาดสินค้า บริการ และการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
ตลอดจนประเด็นอื่นๆที่เกี่ยวเนื่องกับการค้า เช่น การพัฒนาที่ยั่งยืน
มีการลดภาษีกว่า 99% ของสินค้านำเข้าจากทั้งสองประเทศ
เมื่อความตกลงมีผลบังคับใช้
เวียดนามจะลดภาษีทันที 65% ของสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป
และจะทยอยลดภาษีสินค้าที่เหลือภายใน 10 ปี ส่วนสหภาพยุโรปจะลดภาษีทันที 71%
ของสินค้าส่งออกจากเวียดนาม และจะทยอยลดภาษีสินค้าที่เหลือภายใน 7 ปี
สำหรับข้อตกลง EVIPA ที่ได้ลงนามในคราวเดียวกันจะช่วยให้เวียดนามพัฒนากรอบด้านการลงทุนและการใช้กฎหมาย
ให้มีความโปร่งใส เพื่อดึงดูดเงินลงทุนจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป
โมเดลการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรป-เวียดนาม
ถือเป็นประเด็ดสำคัญอย่างยิ่งที่ภาคเอกชนไทยและผู้ประกอบการส่งออกสินค้าไทยไปยังสหภาพยุโรปควรศึกษาและเตรียมพร้อมรับมือเพราะคาดว่าสหภาพยุโรปจะใช้ข้อตกลง
EVFTA เป็นต้นแบบในการเจรจากับไทย
โดยเฉพาะการผลักดันประเด็นที่สหภาพยุโรปให้ความสำคัญ เช่น การเปิดตลาดยา รถยนต์
และเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ ภาคบริการ การลงทุน
การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การเข้าสู่ตลาดการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
การระงับข้อพิพาทในการลงทุน รวมทั้งการปฏิบัติตามพันธกรณีขององค์การระหว่างประเทศต่างๆดังนั้นไทยต้องตั้งการ์ดรับมือและศึกษารายละเอียดปลีกย่อยอย่างรัดกุมจะได้ไม่เสียเปรียบ
ทั้งนี้เมื่อความตกลง EVFTA
มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการทำให้เวียดนามได้เปรียบไทยในการแข่งขันในตลาดสหภาพยุโรปเพราะเวียดนามจะขายสินค้าได้แพงกว่าไทย
เนื่องจากไม่ต้องเสียภาษีภาษีส่งออก อีกทั้งยังใช้สิทธิ GSP
ซึ่งไทยถูกตัดสิทธิไปแล้วตั้งแต่ปี 2558
โดยข้อตกลงดังกล่าวจะเป็นโอกาสที่เวียดนามสามารถเข้าถึงตลาดสหภาพยุโรปที่มีประชากรกว่า
508 ล้านคน มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ( GDP) ประมาณ
18 ล้านล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา และแนวโน้มการส่งออกของเวียดนามไปสหภาพยุโรปจะเพิ่มขึ้น
4-6% คิดเป็นมูลค่า 19 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
เมื่อเทียบกับการไม่มีข้อตกลงเขตการค้าเสรี คาดว่าจะมีมูลค่าแค่ 75 ล้านเหรียญสหรัฐฯในปี
2571 โดยสินค้าสำคัญของเวียดนามได้รับอานิสงส์ส่งออกไปยังสหภาพยุโรป คือ เกษตร
ประมง และสัตว์น้ำ
อุตฯรถยนต์-คอมพ์-ไฟฟ้า เครื่องนุ่งห่ม แข่งขันยากขึ้น
ผลกระทบของความตกลงการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรป-เวียดนามต่อการส่งออกสินค้าไทยนั้น
น.ส.พิมพ์ชนก วอขอพร ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)
กระทรวงพาณิชย์ ยอมรับว่าสาหัสเพราะทำให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันกับเวียดนามในการส่งออกสินค้าไปยุโรปลำบากมากขึ้นเพราะเสียเปรียบด้านภาษี
ทำให้ผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไทย คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ
รวมทั้งแผงวงจรไฟฟ้าอาจต้องย้ายฐานการผลิตรถยนต์ไปยังเวียดนาม เนื่องจากFTA เอื้อผลประโยชน์ให้เวียดนามมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดยุโรปมากขึ้นนั่นเอง
น.ส.พิมพ์ชนก แนะทางรอดผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันกับเวียดนามได้
คือ ต้องเร่งพัฒนาทักษะด้านแรงงาน
ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันเครื่องนุ่งห่มต้องนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้หลากหลาย
การใช้เส้นใยที่มีคุณสมบัติพิเศษ
รวมทั้งการสร้างแบรนด์เพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออกและขยายฐานการตลาดให้กว้างขึ้นด้วยการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายทางออนไลน์
เพื่อจะได้ไม่เสียเปรียบข้อตกลง EVFTA ที่เอื้อประโยชน์ให้แก่สินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของเวียดนามเข้าสู่ตลาดยุโรปมากขึ้น
แนะเร่งผลิตข้าวหอมอินทรีย์ยังหอมหวล
อย่างไรตามข้าวหอมมะลิไทยยังมีข้อได้เปรียบด้านการค้าในตลาดยุโรปเหนือกว่าเวียดนามเพราะเป็นที่รู้จักทั่วโลกและได้รับการยอมรับในคุณภาพของข้าวหอมมะลิไทย
แต่สิ่งที่ไทยควรเร่งสปีดหนีเวียดนามคือการพัฒนาการผลิตข้าวหอมมะลิปลอดสารเคมี
หรือข้าวหอมมะลิอินทรีย์ ซึ่งปัจจุบันตลาดยุโรปและทั่วโลกกำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและมีมูลค่าทางการตลาดกว่า
3.55 ล้านล้านบาท ขณะเดียวกันไทยต้องเร่งประชาสัมพันธ์เอกลักษณ์ของข้าวหอมมะลิที่มีจุดเด่นแตกต่างจากคู่แข่งประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้สามารถเพิ่มโอกาสการส่งออกข้าวได้ราคาแพงขึ้น
ตลอดทั้งนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่มาประยุกต์ใช้กับการตลาด เช่น
บล็อกเชนมาประยุกต์ใช้ในการสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในอาหารให้แก่ผู้บริโภค
สินค้าประมง-อัญมนี-เครื่องประดับ อ่วม
ส่วนผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำแปรรูป ได้แก่ กุ้ง ปลา
ปลาหมึก ของเวียดนาม มีแนวโน้มส่งออกปี 2562 จะเติบโตสูงมากผลพวงจากข้อตกลง EVFTA ดังนั้นผู้ประกอบการไทยจึงควรเข้าใจแนวโน้มพฤติกรรมการบริโภคของชาวยุโรป
พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อส่งออกสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาด
ให้ความสำคัญกับการรักษาทรัพยากรทางทะเลและการทำประมงอย่างถูกกฏหมาย เช่นเดียวกับมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของเวียดนามแม้ว่าส่งออกไปยังอียูจะยังค่อนข้างต่ำ
แต่ก็มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น
หากเวียดนามได้พัฒนาทักษะฝีมือแรงงานเพิ่มมากขึ้นประกอบกับการได้รับยกเว้นภาษีส่งออกไปยังตลาดยุโรป
ที่อาจแย่งส่วนแบ่งตลาดของไทยในอียูได้ในอนาคต ซึ่งผู้ประกอบการไทยจึงควรเร่งพัฒนาคุณภาพมาตรฐานสินค้าอยู่เสมอ
รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตและการตลาดเพิ่มมากขึ้น
เพื่อรักษาหรือเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของไทยในอียู
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ รายงานระบุว่าการค้าของอียู ในช่วง 10 ปี (ปี 2552-2561) มีมูลค่าการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น 37.4% โดยเพิ่มขึ้นจาก 4,652,510.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2552 เป็น 6,393,528.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2561 ซึ่งอียูนำเข้าจากเวียดนามเป็นลำดับที่ 47 ในปี 2552 แต่ในปี 2561 ขึ้นมาเป็นลำดับที่ 27 โดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 269.3% ส่วนนำเข้าจากไทยเป็นลำดับที่ 35 ในปี 2552 แต่ในปี 2561 ลงมาเป็นลำดับที่ 38 แต่มูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้น 30.1% เมื่อพิจารณาเฉพาะในกลุ่มอาเซียน พบว่า ช่วง 10 ปี อียูนำเข้าจากอาเซียนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเวียดนาม ในปี 2552 มีสัดส่วนการนำเข้าอยู่ในอันดับที่ 5 เมื่อเทียบกับมูลค่าการนำเข้าในกลุ่มอาเซียน รองจากสิงคโปร์ ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซียตามลำดับ แต่ในอีก 5 ปีข้างหน้าเวียดนามจะมีศักยภาพแข่งขันที่สูงขึ้นจากการทำการค้าเสรียุโรป-เวียดนาม
อย่างไรก็ตามในปี 2561
มีสัดส่วนการนำเข้าอยู่ในอันดับที่ 1 ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
สินค้านำเข้าของอียูจากเวียดนามเปลี่ยนไป โดยปี 2552
สินค้าสำคัญที่อียูนำเข้าจากเวียดนาม คือ 1.รองเท้า 2.เสื้อผ้า 3.กาแฟ/ชา ส่วนปี
2561 สินค้าสำคัญที่อียูนำเข้าจากเวียดนามคือ 1.อุปกรณ์ไฟฟ้า (โทรศัพท์มือถือ)
2.รองเท้า 3.เสื้อผ้า ทั้งนี้ อียูนำเข้าอุปกรณ์ไฟฟ้า และส่วนประกอบ
มีมูลค่าเพิ่มขึ้นประมาณ 51 เท่า จากปี 2552 ส่วนการนำเข้าสินค้าจากไทย ในช่วง 10
ปีที่ผ่าน อียูนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้น 30.1 %
โดยสินค้านำเข้าสำคัญของอียูจากไทยส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มสินค้าเดิม คือ
เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และอุปกรณ์ไฟฟ้าและส่วนประกอบ รถยนต์และส่วนประกอบ
อัญมณีและเครื่องประดับ
ไม่เพียงเวียดนามเท่านั้นที่ทำFTA กับอียู
ก่อนหน้านี้สิงคโปร์เป็นอีกหนึ่งประเทศของอาเซียนที่บรรลุข้อตกลงกับอียูมีผลบังคับใช้ช่วงไตรมาส
3 ของปี 2562 ซึ่งจะทำให้ศักยภาพการแข่งขันสินค้าส่งออกไปยังประเทศอียู
ดังนั้นไทยต้องต้องเจรจา FTA กับอียูโดยด่วนมิเช่นนั้นเวียดนามก้าวพ้นไทยภายในอีกไม่เกิน
7 ปีข้างจะส่งออกสินค้าหนีไทยไม่เห็นฝุ่น