หากลองนึกย้อนดู หลายๆ คนยังคงจดจำเรื่องราวในตอนช่วงเริ่มต้นธุรกิจได้
เพราะกว่าที่จะนำพาธุรกิจให้เติบโตและผ่านพ้นอุปสรรคมากมายมานั้น หลายร้อยเรื่องราวสามารถสร้างความฮึกเหิมใจได้ไม่น้อยในข้อที่ว่า
‘กว่าจะถึงวันนี้’ แม้สูญเสียแรงใจแรงกายไปมากมาย
แต่ท้ายที่สุดสิ่งเหล่านั้นมิได้เสียเปล่า แต่ทำให้ต้นกล้าธุรกิจในตอนนั้นกลายเป็นไม้ใหญ่ที่เผชิญแรงลมฝนได้อย่างมั่นคงวันนี้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
สำหรับ ‘คุณสุทัศน์
นันชัย’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท
เอ็น ซี เอส โกลด์เบรด จำกัด ธุรกิจผู้ผลิตขนมปังแบรนด์ ‘โกลด์เบรด’ ภาพดังกล่าวคงต้องนึกย้อนไปในวัย
16-17 ปี ที่ช่วงชีวิตหักเหจากบ้านเกิดที่เชียงราย
มาผจญความท้าทายใหม่ที่ภาคตะวันออก เริ่มต้นด้วยการเป็นมนุษย์เงินเดือนพนักงานร้านเบเกอรี
จากนั้นได้ตัดสินใจประกอบธุรกิจของตนเองทั้งธุรกิจร้านประดับยนต์ ธุรกิจร้านอาหาร จนสุดท้ายด้วยความชื่นชอบการทำเบเกอรี่ได้เปิดร้านขนมปังในลักษณะขายส่งในช่วงปี
2534 ด้วยวัยเพียง 24 ปี จากประสบการณ์ทำงานเป็นลูกจ้างร้านเบเกอรี จึงได้คิดค้นปรับปรุงสูตรให้เป็นแบบฉบับของตัวเอง
“แรกเริ่มคือทำขนมถั่วตัด
สำหรับขายส่งร้านของชำในพื้นที่จังหวัดระยอง ส่งครั้งแรก 30
ถุง ราคาถุงละ 8 บาท ได้เงินมา 240 ก็ดีใจ แต่ด้วยการที่ถั่วตัดเป็นอาหารแห้ง แม้จะเก็บได้นาน แต่ก็ขายออกช้า
และไม่สดใหม่ เลยตัดสินใจทำเป็นขนมปังแทน และวางจำหน่ายตามร้านขายของชำ ซูเปอร์มาเก็ต
และตลาดสด เพราะตอนนั้นยังไม่มีหน้าร้าน ก็ส่งร้านเล็กๆ ในตัวเมืองระยอง”
โดยเริ่มทำร้านขนมปังแบบขายส่ง ร่วมกับ ‘คุณเบญจวรรณ นันชัย’ ภรรยาคู่ชีวิต
โดยใช้ชื่อแบรนด์ว่า ‘ขนมปังโกลด์เบรด’ (Gold Bread) จากผลตอบรับที่ดีจึงเริ่มขยายงานโดยจ้างคนเพิ่มและเพิ่มกำลังผลิต
กิจการในช่วงแรกถือว่าขยายเร็วมาก มองว่าความสำเร็จในช่วงต้นเพราะมีการขยายกำลังการผลิตและบริการจัดส่งให้กระจายในพื้นที่มากขึ้น
ตอนนั้นร้านขนมปังรายย่อยจะใช้วิธีมาซื้อที่หน้าร้านเท่านั้น
การบริการของเราจึงเป็นจุดได้เปรียบทางธุรกิจนอกจากนี้ยังใส่ใจในเรื่องคุณภาพรสชาติดี
สินค้าสดใหม่อยู่เสมอ ที่สำคัญต้องซื่อสัตย์กับลูกค้า
ขณะนั้นยังไม่มีหน้าร้าน จึงมุ่งทำการตลาดเฉพาะร้านโชห่วย
ตลาดสด และซูเปอร์มาเก็ตในพื้นที่ ต่อมาจึงเริ่มนำไปวางจำหน่ายในปั้มน้ำมัน
โดยใช้วิธีบริการส่งสินค้าให้กับคู่ค้าถึงจุดขาย วางขายก่อน เก็บเงินภายหลัง และมุ่งเจาะตลาด
Local
โดยกระจายการส่งตามร้านของชำในพื้นที่จังหวัดตราด จันทบุรี ระยอง ซึ่งไม่เพียงแค่จัดส่งขนมปัง
มองว่ายังเป็นการบริการด้านโลจิสติกส์ให้กับคู่ค้า ที่ถือเป็นจุดแข็งสำคัญที่ทำให้ธุรกิจได้รับความไว้วางใจ
และมียอดขายในช่วงเริ่มต้นประมาณ 2 ล้านบาทต่อเดือนเลยทีเดียว
จุดพลิกผันอีกครั้งในปี 2540
‘คุณสุทัศน์’
กล่าวว่า ตอนวิกฤตต้มยำกุ้งปี 40 ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ
ขณะนั้นจากเดิมที่เคยมียอดขายขนมปังต่อเดือนประมาณ 5 ล้านบาท
ช่วงเศรษฐกิจไม่ดีรายได้ก็ลดลง ประกอบกับมีหนี้สินจากการขอสินเชื่อเพื่อลงทุนในธุรกิจประมาณ 5 ล้านบาท ดังนั้นเมื่อเจอวิกฤตอีก ทำให้ธุรกิจเกิดปัญหาสภาพคล่องการเงิน
“โดยมากธุรกิจจะล้มไม่ล้มก็เพราะเรื่องเงินนี่แหละ
ซึ่งยอดขายขนมปังในตอนนั้นแม้จะลดลง แต่ก็ไม่มากนัก อาจเพราะสภาพเศรษฐกิจไม่ดี คนก็หันมาบริโภคขนมปังมากขึ้น
เนื่องจากราคาถูกและอิ่มท้องด้วย ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีสำหรับธุรกิจ”
แต่ปัญหาใหญ่คือ ‘ไม่มีเงินสด’ ซึ่งอย่างที่พูดกันสมัยนี้ว่า ‘Cash
is king’ ทำให้บริษัทเจอปัญหาด้านสภาพคล่องอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในการใช้จ่ายด้านวัตถุดิบ
จึงได้ไปเจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์ที่จัดส่งแป้งทำขนมปังโดยขอยืดระยะเวลาการชำระเงินเพื่อให้มีระยะเวลาในการจำหน่ายสินค้ามากขึ้น
และธุรกิจก็รอดมาได้ในที่สุด
“ตอนผมเจอวิกฤต ก็จะแก้ด้วยการพยายามขายของเยอะๆ
เร็วๆ ไม่ขยายการลงทุนเพิ่มในช่วงนั้น ภายใน 6 เดือน ผมก็ฟื้น
”
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ ‘คุณสุทัศน์’ ที่น่าสนใจอีกกรณี
คือหลังจากที่เศรษฐกิจเริ่มที่จะนิ่งขึ้น ในช่วงเวลาต่อมาเขาก็เริ่มมองถึงการสร้างโรงงาน
โดยเขายังจำภาพตอนนั้นได้ดีและเล่าต่อว่า
“ประจวบเหมาะกับช่วงนั้นทางอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง
ได้มีการจัดงานและเชิญเจ้าหน้าที่ธนาคารไปด้วย เขาก็ถามผมว่ามีโรงงานหรือยัง
ก็บอกยังไม่มีครับ เขาบอกว่าไปสร้างโรงงานดูสิ เขาจะอนุญาตให้ ก็เลยเป็นที่มาของการสร้างโรงงาน
เป็นจังหวะที่ดีของชีวิต และก็เป็นความฝันของผมด้วยที่อยากจะมีโรงงานอะไรสักอย่าง”
จากเถ้าแก่สู่การเป็นผู้ประกอบการ
‘คุณสุทัศน์’ เล่าอีกว่า เขาเองไม่ได้มีวิชาความรู้ในด้านการทำธุรกิจอะไรเลย
ทุกอย่างเริ่มต้นจาก ‘การทดลองทำ’
ซึ่งความผิดพลาดหลายๆ ครั้งเกิดจากการขาดความรู้และไม่มีการวางแผน
เขาไม่ทราบแม้กระทั่งว่าต้องใช้เงินเท่าไรในการสร้างโรงงาน เลยขอสินเชื่อไป 10
ล้านบาท ซึ่งเขาบอกว่า ‘ไม่พอ’ เพราะทำไปสักระยะปรากฏว่าเงินหมดแต่โรงงานยังไม่เสร็จ เลยขอเพิ่มอีก 10
ล้านบาท และที่น่าสนใจคือไม่ถึงปี เงินดังกล่าวก็หมดไปอีกครั้ง
และต้องขอกู้เพิ่มอีก 7 ล้านบาท
ปัญหาคือตอนนั้นยังไม่แยกกระเป๋ารายรับ
รายจ่าย เลยนำเงินที่กู้มาสร้างโรงงานนำไปขยายตลาดด้วย เพราะกลัวว่าถ้าขายขนมปังได้น้อยจะทำให้ไม่มีเงินใช้หนี้
เลยไปทุ่มกับการตลาดเยอะๆ ด้วยเหตุนี้ ในระยะเวลาปี 2542-2543
ธุรกิจขนมปังจึงมีหนี้สะสมถึง 27 ล้านบาท ซึ่งมองว่าเป็นการใช้เงินไม่ตรงกับวัตถุประสงค์
เพราะในตอนนั้นเพิ่งเริ่มธุรกิจจึงไม่มีความเข้าใจในการบริหารมากพอ
“บทเรียนที่ได้ตอนนั้นคือ เราไม่ได้วางแผนชัดเจน
เหมือนสร้างไปก่อน โดยไม่รู้ว่าในการสร้างโรงงานต้องมีอะไรบ้าง แถมยังต้องมีการทำบัญชีที่ดีมารองรับด้วย
หรือแม้แต่ด้านโลจิกติกส์ ซึ่งมีรถขนส่งอยู่ 20 กว่าคัน แต่บ่อยครั้งรถเสีย
ทำให้เสียโอกาส ก็ได้รับคำแนะนำให้ใช้บริการเช่ารถแบบจัดจ้างเอาท์ซอร์สดีกว่า
ไม่ต้องดูแลรักษา และควบคุมคุณภาพได้ด้วย นับแต่นั้นความสัมพันธ์ระหว่างผมและธนาคารจึงมองว่าเป็นเพื่อนคู่คิดที่ดีเสมอมา
มีการแนะนำความรู้ต่างๆ ให้อย่างต่อเนื่อง”
หลังจากโรงงานสร้างเสร็จในปี 2544
กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ก็มีการกระจายสินค้าไปที่ศูนย์กระจายสินค้าตามภูมิภาคปั้มน้ำมัน
ร้านค้า ร้านโชห่วย ซูเปอร์มาเก็ต โดยยังใช้รูปแบบขายส่งบริการวางหน้าร้านคู่ค้า ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านเรามองเห็นจุดอ่อนของเราในเรื่องของความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านการวางแผนทำการการตลาด
จึงจ้างที่ปรึกษามาเป็นอีกผู้ช่วยในการกำหนดแผนธุรกิจ และในปีนั้นยอดขายก็เพิ่มขึ้นถึง
10 ล้านบาท และสูงสุดถึง 100 ล้านบาทต่อเดือนเลยทีเดียว
แต่การเปลี่ยนรูปแบบงานจากระบบเถ้าแก่ร้านขนมปัง
สู่การเป็นผู้ประกอบการโรงงานผลิตขนมปัง บริบทย่อมแยกต่างกัน อีกสิ่งสำคัญที่คุณสุทัศน์เจอ
คือเรื่อง ‘คน’ เพราะงานหนักขึ้น
แต่พนักงานในโรงงาน พนักงานออฟฟิศก็ยังไม่เข้าใจระบบงาน เพราะส่วนใหญ่พนักงานไม่ได้มีความรู้สูง
และธุรกิจโตเร็วเกินไป ทำให้พนักงานยังปรับตัวไม่ทัน จากรูปแบบงานเดิมที่เน้นแรงงานคน
เปลี่ยนมาเป็นเริ่มมีการใช้งานเครื่องจักรแบบใหม่เข้ามาผสม แรกๆ พนักงานจึงมองว่ายุ่งยาก
ไม่ชิน เกิดการต่อต้าน ปัญหาเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้ในองค์กรที่เพิ่งเริ่มปรับตัว
ดังนั้นการบังคับว่าต้องทำแบบนี้อาจจะไม่ใช่วิธีที่ได้ผลจึงใช้วิธีการอธิบายให้เห็นถึงรายได้ที่มากขึ้น
ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นับเป็นทางเลือกและทางออกที่เด็ดขาด แถมยังขจัดปัญหายุ่งยากให้จบไปได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
เริ่มขยายธุรกิจอย่างจริงจังและเป็นแบบแผน
‘คุณสุทัศน์’
บอกอีกว่า แต่ก่อนก็ไม่รู้ว่าต้องตั้งเป้ายอดขาย รู้แต่ว่าทำให้ดีที่สุด ทำให้ขายได้เยอะที่สุด
โดยที่เราไม่ได้ตั้งเป้า ไม่มีแผน แต่มาทราบภายหลังว่าการมีแผนธุรกิจนั้นสำคัญมาก
เพราะแม้จะขยายตลาดขนมปังมาต่อเนื่อง
แต่กล่าวได้ว่าเริ่มเรียนรู้การทำธุรกิจที่เป็นรูปแบบจริงจังในปี 2547 ซึ่งกว่าจะเป็นรูปเป็นร่างได้ถึงกับต้องปูพื้นฐานกันถึง
10 ปีเลยทีเดียว
ด้วยการเป็นคนที่เจออุปสรรคอะไรก็ไม่เคยถอย
ใจสู้ ทำให้ปัจจุบันมีศูนย์กระจายสินค้า 22 สาขาในพื้นที่ภาคตะวันออก
กรุงเทพฯ และภาคอีกสาน มีการจัดส่งสินค้ากว่า 2 หมื่นร้าน (รวมเซเว่น อีเลฟเว่น)
รวมทั้งที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาสินค้าจากของเดิมที่มีอยู่
โดยจะใช้เทรนด์การบริโภคที่เปลี่ยนไปตามพฤติกรรมของลูกค้าเข้ามาพัฒนาสินค้าในอนาคตอีกด้วย
เช่นช่วงโควิด 19 ยอดขายสินค้าชนิด ขนมปังหมูหยอง พิซซ่า ไส้กรอก ขายดี อาจเป็นเพราะว่าสามารถกินทดแทนอาหารหลักในราคาประหยัดกว่า
อิ่มแถมสะดวกซื้ออีกด้วย ซึ่งนอกจากจะติดตามเทรนด์การบริโภค
ยังพัฒนาขนมปังที่แปลกใหม่ ที่คาดว่าผู้บริโภคจะชื่นชอบออกสู่ตลาดควบคู่อย่างต่อเนื่อง
วิกฤตโควิด ‘เราขยับตลาด ตื่นตัวก่อนเจอวิกฤต’
จากปัญหายอดขายที่ลดลงนับตั้งแต่ปี 2561
ซึ่งคุณสุทัศน์มองว่าเป็นความ ‘โชคดี’ เพราะตอนนั้นได้เริ่มมีการมองปัญหาดังกล่าวและปรับแผนธุรกิจใหม่
ทุกภาคส่วนของบริษัทมีการปรับตัว พอมาเจอวิกฤตโควิด 19 แม้จะได้รับผลกระทบแต่ก็ไม่มากนัก
อันเนื่องจากมีทีมการตลาดที่เก่ง มองตลาดเป็น วิเคราะห์ได้
และทุกคนช่วยกันทำงานหนักขึ้น และแม้ในส่วนโรงงานจะกระทบบ้าง แต่ยอดขายเราโตขึ้นประมาณ
16-18%
จากปี 2563
ที่เกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19
ทำให้การท่องเที่ยวลด คนเดินทางน้อย ทำให้ยอดขายร้านในปั้มลดลง
ขณะที่ยอดขายในร้านสะดวกซื้อยังดี ปัจจุบันลูกค้าหันมาจับจ่ายร้านที่ร่วมโครงการคนละครึ่งมากขึ้น
ทำให้ยอดขายร้านค้ารายย่อยโตขึ้น เราจึงเน้นทำการตลาดไปที่ร้านค้ารายย่อยขยันส่งสินค้าถี่ขึ้น
เพราะสินค้าจะได้สดใหม่ก่อนถึงมือลูกค้าเสมอ
“ผมทำธุรกิจไม่ได้มองใครเป็นคู่แข่ง
แต่ก็มองว่าธุรกิจรายที่ใหญ่กว่าเราคือตัวอย่างที่ดี สามารถทำตามแบบอย่างเค้าได้
รวมทั้งการพัฒนาคน แม้จะมองว่าโลกต่อไปต้องใช้เทคโนโลยีเป็นหลัก แต่ไม่มีนโยบายลดคนงาน
แต่มีนโยบายเพิ่มผลงาน”
แผนต่อไปของคุณสุทัศน์
คือการสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดปทุมธานี
ซึ่งเป็นการเพิ่มกำลังผลิตเพื่อขยายฐานลูกค้าในพื้นที่ภาคกลาง เป็นการลดต้นทุนในด้านค่าขนส่ง
นอกจากนี้ยังมีการวางแผนการตลาดในอนาคตไปยังตลาดในภาคเหนือ
และภาคใต้ที่เขายังไม่ได้ทำและนั่นอาจเป็นเป้าหมายถัดไป
เขามองว่ากว่า 25 ปีที่ดำเนินธุรกิจขนมปัง ผ่านบทเรียนให้ต้องล้มลุก
จากเอสเอ็มอีรายเล็กๆ สั่งสมประสบการณ์ และพัฒนาธุรกิจจนมาถึงจุดที่อยู่ได้อย่างยั่งยืน
นอกจากใจสู้ รู้จักปรับตัว เรียนรู้สิ่งใหม่ แล้วสิ่งสำคัญคือความซื่อสัตย์กับผู้บริโภค
ซื่อสัตย์กับพนักงานในโรงงาน ซื่อสัตย์กับตัวเองและกับคู่ชีวิตที่ร่วมเผชิญความยากลำบากมาด้วยกัน
ทุกวันนี้ ‘คุณเบญจวรรณ’ ยังคงเป็นกำลังหนุนในหลายด้าน รวมทั้งการพัฒนาสูตรขนมปังให้สอดรับกับเทรนด์ตลาดและผู้บริโภค ซึ่งเธอมองว่าเทรนด์สุขภาพจะยิ่งสำคัญและเป็นทางเลือกแรกของผู้บริโภคยุคใหม่ ดังนั้นทิศทางของธุรกิจขนมปังต่อจากนี้จะโฟกัสที่ความ Healthy มากขึ้น ซึ่งสอดรับกับโรงงานใหม่ที่กำลังจะสร้าง ที่คุณสุทัศน์มองว่านี่จะเป็นอนาคตต่อไปของธุรกิจขนมปังภายใต้แบรนด์ ‘โกลด์เบรด’