สัญญาณเงินเฟ้อ–เฟดปรับนโยบายการเงิน ส่งสัญญาณอะไรต่อเศรษฐกิจไทย
ผลจากการระบาดอย่างรุนแรงของโควิด 19
ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและอัตราการว่างงานที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้หลายๆ ประเทศทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบ
และมีการอัดฉีดเงินเข้าระบบเพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน
รวมถึงประเทศไทยที่แม้ปัจจุบันจะสามารถควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด 19 ได้แล้ว
แต่จากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ต้องหยุดชะงักทำให้ภาคธุรกิจต่างๆ
จำต้องมีการลดแรงงานคนและปรับรายได้เพื่อพยุงเศรษฐกิจให้อยู่รอด ก็ยังส่งผลเป็นลูกโซ่ไปถึงการใช้จ่ายภายในประเทศที่ฝืดเคืองลงอย่างเห็นได้ชัด
ทางเศรษฐศาสตร์การเงินเรียกว่าอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง จากสถานการณ์ด้านสินค้าและบริการเดือนพฤษภาคมที่พบว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนพฤษภาคมเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ลดลง 3.44% ซึ่งเป็นการติดลบต่อเนื่อง 3 เดือนนับตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา ซึ่งอาจทำให้ไทยกำลังเข้าสู่ภาวะเงินฝืด โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้เงินเฟ้อยังลดง เป็นผลจากสถานการณ์โควิด 19 และราคาน้ำมันที่ปรับลดลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
อย่างไรก็ตามข้อมูลล่าสุดนับว่าเป็นสัญญาณที่ดี
ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)
ที่เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนสิงหาคม 2563 เท่ากับ 102.29
เพิ่มขึ้น 0.29% เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา แต่ลดลง 0.50%
เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม 2562 ซึ่งปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3
นับจากเดือนพฤษภาคม 2563 ที่ติดลบ 3.44% มิถุนายน 2563 ติดลบ 1.57% และกรกฎาคม
2563 ติดลบ 0.98% และหดตัวในอัตราที่น้อยลงเรื่อยๆ ถือว่าต่ำสุดในรอบ 6 เดือน ส่วนเงินเฟ้อเฉลี่ย
8 เดือนของปี 2563 (มกราคม-สิงหาคม) ลดลง 1.03%
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ระบุว่า
สำหรับสาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้อติดลบน้อยลง มาจากการลดลงของสินค้าอื่นๆ
ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลง 1.73% เช่น การขนส่งและการสื่อสาร ลดลง 4.50%
จากการลดลงของราคาน้ำมัน ส่งผลให้กลุ่มพลังงานลดลง 9.70% ค่าโดยสาร เช่น
รถไฟลอยฟ้า ค่าเรือ ลดลง 0.02% การสื่อสาร เช่น เครื่องรับโทรศัพท์มือถือ ลดลง
0.04% เคหสถาน เช่น ก๊าซหุงต้ม น้ำประปา น้ำยาปรับผ้านุ่ม ลดลง 0.12%
เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ลดลง 0.04% ค่าทัศนาจร ห้องพักโรงแรม ลดลง 0.22%
แต่หมวดการรักษาและบริการส่วนบุคคล
เช่น ยาสีฟัน โฟมล้างหน้า ค่าแต่งผมชาย เพิ่มขึ้น 0.31%
ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์
เพิ่มขึ้น 1.62% โดยเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับความต้องการบริโภค เช่น ข้าว แป้ง
และผลิตภัณฑ์จากแป้ง เพิ่มขึ้น 1.49% เนื้อสัตว์ เป็ด สัตว์น้ำ เพิ่มขึ้น 3.12%
โดยเฉพาะเนื้อสุกร ที่ราคายังทรงตัวสูง ตามความต้องการทั้งในและต่างประเทศ ผักสด
เพิ่มขึ้น 13.94% เช่น ผักชี มะเขือเทศ ต้นหอม ถือว่าราคาสูงสุดในรอบ 13 เดือน
เนื่องจากฝนตกชุก ทำให้ผักเสียหาย เครื่องประกอบอาหาร เพิ่มขึ้น 3.09%
เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เพิ่มขึ้น 1.96% อาหารบริโภคในบ้าน เพิ่มขึ้น 0.48%
นอกบ้าน เพิ่มขึ้น 0.88% แต่ผลไม้ ลดลง 4.99%
อย่างไรก็ตามแนวโน้มเงินเฟ้อเดือนกันยายน
2563 และเดือนต่อๆ ไป คาดว่าจะหดตัวต่อเนื่องแต่ในอัตราที่ลดลง
เพราะทิศทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น จากภาคเกษตรที่ผลผลิตทางการเกษตรหลายรายการมีราคาสูงขึ้น
ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น มีการจับจ่ายใช้สอย
และยังได้รับแรงกระตุ้นจากมาตรการของรัฐที่ผลักดันให้คนมีงานทำ การแจกเงิน 3,000 บาทเพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้า
การส่งเสริมการท่องเที่ยวซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลดีต่อเงินเฟ้อ ขณะที่ราคาน้ำมันก็ไม่เป็นปัจจัยกดดัน
เพราะยังทรงตัว ไม่เพิ่มและไม่ลดมาก ทำให้ทั้งปี ยังคาดการณ์เงินเฟ้อที่ติดลบ 1.5%
ถึงลบ 0.7% ค่ากลางอยู่ที่ลบ 1.1%
เฟดปรับนโยบายการเงินแบบยืดหยุ่นอาจส่งผลต่อค่าเงินของไทย
ขณะเดียวกันจากรณีที่ นายเจอโรม
พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เปิดเผยแนวทางใหม่ในการกำหนดนโยบายการเงินของสหรัฐ โดยปล่อยให้อัตราเงินเฟ้อและการจ้างงานสูงขึ้นในการเปลี่ยนแปลง
ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำต่อไปในอีกหลายปีข้างหน้า
โดยเฟดประกาศว่าทางธนาคารจะปรับเปลี่ยนแนวทางการกำหนดทิศทางเงินเฟ้อใหม่ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
ซึ่งจะมีผลต่อการคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำได้นานขึ้น
โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการส่งเสริมตลาดแรงงานและขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตได้ต่อไป
ทั้งเห็นว่าอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานานเป็นความเสี่ยงที่ร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ
ทำให้เฟดดำเนินการล่วงหน้าด้วยการรีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่อาจก่อตัวขึ้น
เฟดจะใช้เครื่องมือใหม่ที่เรียกว่า “เป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ย”
ซึ่งจะทำให้อัตราเงินเฟ้อมีความยืดหยุ่น และสามารถดีดตัวขึ้นเหนือ 2%
แทนที่จะกำหนดเป้าหมายตายตัวที่ 2%
นักวิเคราะห์มองว่า เฟดกำลังบอกว่าจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ
นี้ และกำลังบอกว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลงอีกต่อไป แต่อย่ากังวลว่าเงินเฟ้อจะไม่ฟื้นตัว
แม้ว่าจะไม่ได้กำหนดเป้าหมายอัตราการว่างงานในวงกว้างหรือสำหรับกลุ่มประชากรบางกลุ่ม
แต่แนวทางนี้อาจช่วยแก้จุดอ่อนอื่นๆ ในระบบเศรษฐกิจได้
ประเด็นนี้ นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการ
สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า กรอบการดำเนินนโยบายการเงินของคณะกรรมการนโยบายการเงิน
(กนง.) มีความยืดหยุ่น เพราะนอกจากจะพิจารณาจากมิติด้านเงินเฟ้อแล้ว
ยังให้ความสำคัญกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และระบบเสถียรภาพระบบการเงินด้วย
นอกจากนี้ ภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (Flexible Inflation Targeting) ยังสามารถใช้เครื่องมือที่หลากหลาย
โดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในนั้นๆ เช่นในบริบทปัจจุบัน
มีการใช้เครื่องมือทางนโยบายด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่อัตราดอกเบี้ย เช่น
มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) และการปรับโครงสร้างหนี้
เพื่อให้มั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ และเสถียรภาพทางการเงิน
เป็นไปในทิศทางที่เกื้อหนุนกัน
ขณะที่ผลกระทบต่อไทยซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า มีแนวโน้มสูงที่ดอลลาร์จะอ่อนตัวและทำให้เงินบาทแข็งค่า
และยิ่งจะทำให้การแข่งกันการค้าในตลาดโลกของสินค้าไทยแพงขึ้น มีต้นทุนที่สูงขึ้น
ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของไทยในไตรมาสสุดท้าย
ทั้งยังเป็นตัวเร่งให้ภาวะเงินเฟ้อในไทยลดลงอีก
แม้ปัจจุบันจะมีทิศทางดีขึ้นแต่ยังนิ่งนอนใจไม่ได้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงช่วงที่ผ่านมายังเป็นผลกระทบจากโควิด
19 และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ดังนั้นการปรับนโยบายการเงินของเฟดครั้งนี้
จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างแน่นอน
แหล่งอ้างอิง :
https://www.commercenewsagency.com/