ข้าวญี่ปุ่น ‘โรงสีข้าวจิราภรณ์’ ความอร่อยเกรดพรีเมียม เปี่ยมคุณภาพ
รวงข้าวเหลืองอร่าม พร้อมเก็บเกี่ยวเต็มท้องทุ่งสุดลูกหูลูกตา
จำนวนหลายพันไร่ในเขตพื้นที่อำเภอแม่สรวย และอำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย แหล่งปลูก
‘ข้าวญี่ปุ่น’ ขึ้นชื่อของเมืองไทย ความสุขบนผืนดินที่ทำให้ คุณสนั่น
สุภาวะ ผู้ก่อตั้งและผู้จัดการ ‘โรงสีข้าวจิราภรณ์’ ประสบความสำเร็จเป็นผู้นำด้านการผลิตข้าวญี่ปุ่นบ้านเราในปัจจุบัน
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
เริ่มต้นจาก ‘เกษตรกร’ ผันตัวสู่ ‘พนักงานบริษัท’
คุณสนั่น
เล่าว่า เมื่อปี 2536 มีคนรู้จักแนะนำให้ไปทำงานกับบริษัท
สยามจาปอนิก้าฟลาวร์ จำกัด ซึ่งกำลังส่งเสริมการปลูกข้าวเหนียวญี่ปุ่นในเขตพื้นที่อำเภอแม่สรวย
และอำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย เพื่อนำมาผลิตเป็นแป้งข้าวเหนียวส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น
“แม้จะเรียนจบช่างยนต์
แต่ก็ทำการเกษตรมาโดยตลอด ปลูกข้าว ปลูกพริก ใช้ชีวิตเกษตรกรตั้งแต่เด็ก
ก่อนที่จะไปทำงานกับบริษัท สยามจาปอนิก้าฟลาวร์ จำกัด เพื่อส่งเสริมการปลูกข้าวเหนียวญี่ปุ่น”
‘ฟองสบู่แตก’ จุดประกายธุรกิจปลูก
‘ข้าวญี่ปุ่น’
ปี 2540 เกิดภาวะฟองสบู่แตก
ส่งผลให้บริษัท สยามจาปอนิก้าฟลาวร์ จำกัด รับภาระไม่ไหวต้องปิดกิจการ คุณสนั่น
ได้เผยว่า ตอนนั้นตนเองกำลังสนุกอยู่กับงาน การส่งเสริมปลูกข้าวเหนียวและข้าวเจ้าญี่ปุ่นกำลังไปได้ดี
มีการประกันราคาสร้างรายได้ที่มั่นคงให้เกษตรกร
จึงมีความคิดว่าข้าวญี่ปุ่นยังสามารถเติบโตต่อไปได้
แม้ในปี 2541
เศรษฐกิจจะยังได้รับผลกระทบจากภาวะฟองสบู่แตก แต่กลุ่มลูกค้าร้านอาหารญี่ปุ่นที่ต้องการข้าวญี่ปุ่นยังมีอยู่
คุณสนั่น จึงได้เช่าไร่นาเพื่อปลูกข้าวญี่ปุ่น
พร้อมกับการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งขณะนั้นมีเงินลงทุนค่อนข้างจำกัดจึงจำเป็นต้องเช่ารถบรรทุก
จ้างโรงสีข้าว รวมถึงการเช่าตู้อบข้าวของสหกรณ์อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย
และอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่
“เมื่อทุกอย่างเริ่มลงตัวก็มีการขยับขยาย
กู้สินเชื่อจากสถาบันการเงิน ซื้อเครื่องมือเป็นของตัวเอง เช่น ตู้อบข้าว รถบรรทุก
เครื่องจักรเครื่องมือต่างๆ รวมถึงการสร้างโรงสีข้าว ก่อนจดทะเบียน ‘หจก.โรงสีข้าวจิราภรณ์’
ในปี 2545”
ตอนเริ่มทำธุรกิจ ‘โรงสีข้าวจิราภรณ์’
มีกลุ่มเครือข่ายเกษตรกรเดิมของบริษัท สยามจาปอนิก้าฟลาวร์ จำกัด ขณะนั้นมีพื้นที่ประมาณ 300-500 ไร่ ปัจจุบันมีพื้นที่เพาะปลูกกลุ่มเครือข่ายเกษตรกรประมาณ
300
ราย จำนวน 4,400 ไร่
คุณสนั่น กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากทำบริษัทของตนเองจึงมีการเลือกปลูก ‘ข้าวเจ้าญี่ปุ่น’ เพื่อจำหน่ายร้านอาหารญี่ปุ่นโดยเฉพาะ โดยเริ่มต้นจากจังหวัดเชียงใหม่ มีการสั่งข้าวจำนวน 200-300 กิโลกรัมต่อครั้ง หลังจากนั้นมีลูกค้าของร้านอาหารที่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นร้านค้าส่งข้าวญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ให้ความสนใจ จึงจำหน่ายข้าวเพิ่มขึ้นประมาณ 3 ตันต่อสัปดาห์
หลังจากส่งเสริมเกษตรกรปลูกข้าวญี่ปุ่น
ช่วยเป็นอีกหนึ่งเสียงสำคัญทำให้เกิด ‘การประกันราคาข้าว’ ที่เกษตรกรยอมรับ
ส่งผลให้ผลผลิตและยอดขายเริ่มเติบโต คุณสนั่น จึงปรึกษากับหุ้นส่วนว่าควรหาตลาดข้าวใหม่ๆ
เพิ่มเติม ก่อนที่ ‘โรงสีข้าวจิราภรณ์’ จะติดต่อดำเนินธุรกิจกับบริษัทค้าข้าวญี่ปุ่น
ซื้อข้าวเพื่อไปทำแบรนด์ของบริษัทนั้นๆ
เมื่อ ‘โรงสีข้าวจิราภรณ์’ เป็นที่รู้จัก
จึงมีบริษัทต่างๆ ขอซื้อข้าวญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น โดยแต่ละบริษัทจะแจ้งว่าต้องการจำนวนเท่าไร
จากนั้นคุณสนั่นก็จะวางแผนการเพาะปลูก
โดยปัจจุบันมีลูกค้าสั่งซื้อข้าวเป็นประจำ 5-6 บริษัทด้วยกัน
เพิ่ม ‘Productivity’ เป็น 1,400-1,500 กก./ไร่
คุณสนั่นกล่าวว่า
ด้วยลักษณะพันธุ์ข้าวญี่ปุ่นที่ปลูกในปัจจุบัน มีการพัฒนาสายพันธุ์โดยศูนย์วิจัยข้าว
กรมการข้าว จังหวัดเชียงราย ซึ่งผ่านการรับรองพันธุ์ข้าว 2
พันธุ์คือ ก.วก.1 หรือพันธุ์ ซาซานิชิกิ
(Sasanishiki) และ ก.วก.2 หรือพันธุ์ อาคิตะโคมาจิ (Akitakomachi)
ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ ‘โรงสีข้าวจิราภรณ์’ ปลูกในปัจจุบัน
สำหรับเทคนิคการใส่ปุ๋ย การเพาะกล้า คุณสนั่นกล่าวเสริมว่า
ได้มีการแลกเปลี่ยนความรู้กับเกษตรกรในหลายจังหวัดว่าจะทำอย่างไรให้ผลผลิตสูงขึ้น หลังจากนั้นจึงมีการประชุมกับเกษตรกรในพื้นที่
ถ่ายทอดความรู้ว่าต้องปลูกอย่างไร มีรายละเอียดปลีกย่อย-ปัจจัยอะไรบ้าง ส่งผลให้ในปัจจุบันเกษตรกรมีรายได้สูงขึ้นจากการ
Productivity เนื่องจากผลผลิตเพิ่มขึ้นจาก 750 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นผลผลิต 1,400-1,500 กิโลกรัมต่อไร่
“ผมสร้างคู่มือการปลูกให้กับเกษตรกร
โดยปรับปรุงมาจากเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จ แล้วปรับเปลี่ยนให้เข้ากับการปลูกข้าวญี่ปุ่น”
‘อาคิตะโคมาจิ’
มีดีอย่างไร ทำไมได้ใจผู้บริโภค
คุณสนั่นกล่าวว่า
ด้วยประสบการณ์ที่อยู่ในพื้นที่ส่งเสริมปลูกข้าวญี่ปุ่นมาเกือบ 30
ปี พันธุ์ข้าวญี่ปุ่น อาคิตะโคมาจิ (Akitakomachi) จะมีความเหนียวนุ่ม สามารถใช้เป็นข้าวบริโภค รวมถึงทำซูชิก็อร่อยกว่าพันธุ์อื่นๆ
ที่ปลูกในเมืองไทย นอกจากนี้พันธุ์ข้าวยังมีความต้านทานต่อโรคสูงด้วย
สำหรับจุดเด่นอื่นๆ ที่ใช้พิชิตใจลูกค้า ก็คือข้าวจะต้องใหม่อยู่เสมอ โดยข้าวที่พร้อมจำหน่ายต้องหมดภายใน 6 เดือน เพื่อรับข้าวใหม่ที่จะเข้ามา ซึ่งการจำหน่ายต้องมีการวางแผนเพื่อไม่ให้ข้าวค้างสต็อก
ตลาด
‘ข้าวญี่ปุ่น’ คือใคร
สำหรับเรื่องนี้คุณสนั่นเล่าว่า ตลาดข้าวญี่ปุ่นจะมีอยู่
3
กลุ่มด้วยกันคือ
1. กลุ่มที่ใช้ข้าวมาจากญี่ปุ่นโดยตรง ซึ่งมีจำนวนไม่มาก
2. กลุ่มที่ใช้ข้าวที่ปลูกในเมืองไทยเป็นส่วนใหญ่
3. กลุ่มที่ใช้ข้าวจากอาเซียน (เวียดนาม) ซึ่งคุณภาพด้อยกว่า
2
กลุ่มแรก
คุณสนั่น บอกว่า
ด้วยความที่ขณะนี้ข้าวประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาจำหน่ายในไทยจำนวนมาก ทำให้การแข่งขันค่อนข้างเผชิญกับปัญหาพอสมควร
เนื่องจากต้นทุนข้าวในบ้านเราสูงกว่า แม้จะมีคุณภาพดีกว่าก็ตาม
ซึ่งนอกจากเรื่อง ‘ต้นทุน’ แล้ว สิ่งที่ผู้ประกอบการร้านอาหารญี่ปุ่นควรให้ความสำคัญในอนาคตก็คือ
Traceability
หรือระบบการตรวจสอบย้อนกลับ เนื่องจากผู้บริโภคต้องการทราบแหล่งปลูกข้าวญี่ปุ่นเพื่อสร้างความมั่นใจต่อการซื้อข้าว
ซึ่งเป็นกลไกกระบวนการประกันความปลอดภัยอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกันคุณภาพเกี่ยวกับการปนเปื้อนอันตราย
ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียจากการเรียกคืนสินค้า ทำให้ภาคการผลิตสามารถเรียกคืนสินค้าได้อย่างถูกต้อง
รวดเร็ว และในปริมาณที่ควรจะเป็น
หากผู้ประกอบการเลือกใช้ข้าวที่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้
‘ร้านอาหารญี่ปุ่น’
ในไทยโตต่อเนื่อง โอกาสทองข้าวญี่ปุ่น
ทั้งนี้ จากข้อมูลองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น
(เจโทร กรุงเทพฯ) ที่เผยผลการสำรวจตลาดอาหารญี่ปุ่นในไทยปี 2563 (prachachat.net วันที่ 17
ธันวาคม 2563) ระบุว่ามีร้านอาหารญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 12.6% เป็น 4,094 ร้าน จากเดิม 3,637 ร้าน ซึ่งร้านอาหารประเภทซูชิเพิ่มขึ้นสูงสุดกว่า 504 ร้าน มากกว่าปี 2562 ถึง 50.9% จากการขยายในรูปแบบแฟรนไชส์ จากเชนใหญ่ต่างๆ ที่เร่งบุกตลาด
และจากผู้เล่นรายใหม่ที่กระโดดเข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่อง
คุณสนั่น มองว่า ปัจจัยที่ส่งเสริมให้ตลาดอาหารญี่ปุ่นขยายตัวสวนกระแสเศรษฐกิจ น่าจะมาจากความชื่นชอบประเทศญี่ปุ่น ส่งผลให้เกิดวัฒนธรรมการบริโภคอาหารญี่ปุ่นที่มากและหลากหลายยิ่งขึ้น รวมไปถึงตลาดอาหารญี่ปุ่นในไทยมีทางเลือกมากขึ้น ทั้งประเภทอาหารและช่วงราคา ทำให้ฐานลูกค้าขยายตัวขึ้นตามไปด้วย
จากเกษตรกรตัวเล็กๆ
คุณสนั่น สุภาวะ ได้อาศัยการเรียนรู้ต่อยอดจากงานประจำ
นำมาพัฒนาสู่ธุรกิจปลูกข้าวญี่ปุ่นของ ‘โรงสีข้าวจิราภรณ์’ และข้าวญี่ปุ่นแบรนด์
‘ไทโย’ ให้เติบโตสามารถสร้างเครือข่ายเกษตรกร พร้อมด้วยการทำ ‘Productivity’ ช่วยให้การปลูกข้าวมีคุณภาพให้ผลผลิตต่อไร่สูง จนประสบความสำเร็จเป็นผู้ผลิตข้าวญี่ปุ่นแถวหน้าของเมืองไทย