จากความพยายามที่ล้มเหลวของ นางเทเรซ่า เมย์
อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษภายหลังสภาผู้แทนราษฎรสหราชอาณาจักรปฏิเสธข้อตกลง Brexit ถึง
3
ครั้งและการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจได้สร้างมรสุมในชีวิตการเมืองของนายกฯ เมย์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นอย่างยิ่ง
แม้เธอจะรอดการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนั้นมาได้ แต่สถานการณ์ Brexit ในปัจจุบันก็ยังมิได้พ้นจากทางตัน
จนในที่สุดเธอต้องลาออกตำแหน่งนายกฯ เมื่อวันที่ 7
มิถุนายนที่ผ่านมา
ทว่าการลาออกครั้งนี้ยิ่งทำให้สถานการณ์ Brexit มีความไม่แน่นอนและขาดความน่าเชื่อถือมากขึ้น จากสถานการณ์จากความไม่แน่นอนดังกล่าวทำให้อียูต้องทบทวนการเตรียมความพร้อมในกรณีเกิด No-deal Brexit ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่ต้น จนถึงปัจจุบันที่แนวโน้ม No-deal Brexit ปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา อียูได้จัดทำเอกสารเผยแพร่เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมกรณี No-deal Brexit ฉบับที่ 5 ขึ้น เพื่อชี้แจงความคืบหน้าในการดำเนินการเพื่อรองรับสถานการณ์ดังกล่าวของประเทศสมาชิกอียูทั้งหมด
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
โดยสรุปประเด็นที่น่ากังวลได้ 6 ข้อ ดังนี้
1.สิทธิในการพำนักของพลเมืองและการเข้าถึงประกันสังคม
แต่ละประเทศสมาชิกได้จัดเตรียมมาตรการฉุกเฉินไว้แล้วก่อน 12 เมษายน
2562
ซึ่งเป็นกำหนดที่สหราชอาณาจักรได้รับการขยายเวลาครั้งก่อน
(ปัจจุบันได้รับการขยายเวลาเพิ่มเติมถึง 31
ตุลาคม 2562) เพื่อให้สามารถมั่นใจได้ว่าพลเมืองของสหราชอาณาจักร
และสมาชิกครอบครัวที่มิได้ถือสัญชาติในอียูจะสามารถพำนักอย่างถูกกฎหมายต่อไปได้ในทันทีที่เกิด
No deal Brexit โดยได้จัดทำเว็บไซต์รวบรวมมาตรการฉุกเฉินของแต่ละประเทศสมาชิกไว้ที่
http://bit.ly/31Ksh2E
2.ศุลกากร
การเก็บภาษีทางอ้อม และด่านพรมแดน คณะกรรมาธิการยุโรปได้จัดประชุมและออกข้อแนะนำเกี่ยวกับศุลกากร
ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิต
ในขณะที่รัฐบาลของหลายประเทศสมาชิกได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากรบุคคล
ซึ่งรวมถึงการตรวจบริเวณชายแดนเพื่อควบคุมมาตรฐานสุขอนามัยพืชและสัตว์
โดยเฉพาะประเทศที่เป็นจุดเข้า-ออกหลักกับสหราชอาณาจักร
ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ
3.การขนส่ง
คณะกรรมาธิการยุโรปอยู่ระหว่างดำเนินการตามกฎระเบียบฉุกเฉินด้านการขนส่งทางอากาศเพื่อให้สายการบินในอียูปฏิบัติตามข้อบังคับเรื่องสัญชาติสายการบิน
(majority ownership) และข้อบังคับด้านการควบคุมต่างๆ
สำหรับการขนส่งทางราง
โดยได้ย้ำให้ผู้ให้บริการที่ยังไม่ได้ขอรับใบอนุญาตจากประเทศสมาชิกอียู 27
ประเทศเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามข้อบังคับการบินโดยเร็ว
4.การประมง คณะกรรมาธิการยุโรปได้ทำงานร่วมกับประเทศสมาชิกเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อจะนำไปสู่การเตรียมความพร้อมสำหรับการขออนุญาตทำประมงในน่านน้ำสหราชอาณาจักร
ทันทีที่เกิด Brexit และเมื่อกฎระเบียบฉุกเฉินเรื่องใบอนุญาตทำประมงมีผลบังคับใช้ อีกทั้งยังออกแผนปฏิบัติการภายใต้กองทุน European Maritime and Fisheries Fund ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือชาวประมงสามารถพร้อมใช้งานได้หากจำเป็น
ในกรณีที่ต้องหยุดทำประมงชั่วคราว
5.บริการทางการเงิน
หลายบริษัทเร่งดำเนินการตามแผนรับมือตั้งแต่ช่วงก่อนวันที่ 12 เมษายน 2562
แล้ว แต่หลายบริษัทยังประสบปัญหาบางประการอยู่ เช่น
การจัดการสัญญาและการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น
โดยคณะกรรมาธิการยุโรปเน้นย้ำให้บริษัทที่ยังไม่พร้อมเตรียมความพร้อมให้แล้วเสร็จภายใน
31 ตุลาคม 2562
6.ผลิตภัณฑ์ยา
เครื่องมือทางการแพทย์ และสารเคมี มีผลิตภัณฑ์ยาที่ได้รับอนุญาตในระดับอียูจาก
European Medicines Agency (EMA) อีกเพียง
1%
ที่ยังไม่ได้ปฏิบัติตามข้อบังคับในช่วงก่อนวันที่ 12
เมษายน 2562 ซึ่งปัจจุบัน EMA เร่งดำเนินการจนใกล้แล้วเสร็จ
ส่วนผลิตภัณฑ์ยาที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานของประเทศสมาชิกต้องดำเนินการตามข้อบังคับภายใน
31 ตุลาคม 2562
ด้านเครื่องมือทางการแพทย์
อยู่ระหว่างการถ่ายโอนใบรับรองจากหน่วยงานของสหราชอาณาจักรให้กับหน่วยงานของสมาชิกอื่นในอียู ส่วนด้านสารเคมี
ข้อมูลการจดทะเบียนตามระเบียบข้อบังคับ REACH 718
ชนิดที่ยังไม่ได้รับการถ่ายโอนจากสหราชอาณาจักร ให้กับประเทศสมาชิกอีก 27 ประเทศ โดย European
Chemicals Agency (ECHA) ได้เปิดช่องทางให้ลงทะเบียนในระบบ REACH-IT เพื่อให้สามารถถ่ายโอนข้อมูลการลงทะเบียนได้ทันทั้งหมดก่อนวันถอนตัว
ทั้งนี้ ในเอกสารเผยแพร่ฉบับดังกล่าวยังเน้นย้ำอีกว่า “ไม่มีความจำเป็นต้องปรับแก้สาระสำคัญในมาตรการที่ออกไปแล้ว รวมทั้งไม่มีความจำเป็นต้องออกมาตรการใหม่เพิ่มเติม” ซึ่งสะท้อนให้เห็นนัยความพร้อมของอียูในกรณีที่ No-deal Brexit เกิดขึ้นจริงในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 นี้ว่า อียูได้เตรียมแนวทางรับมือและพยายามหลีกเลี่ยงผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจอียูให้ได้มากที่สุด
จับตา with deal หรือ
no
deal
ทั้งนี้อนาคตของ Brexit
เองก็ขึ้นอยู่กับการเมืองภายในสหราชอาณาจักรด้วย
ซึ่งขณะนี้มีรายชื่อผู้ชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมแทนนายกฯ เมย์ 2
รายคือ นาย Boris Johnson และนาย
Jeremy Hunt อย่างไรก็ดีตามข้อมูลของสื่ออังกฤษพบว่า
ความนิยมภายในพรรคของนาย Johnson ปัจจุบันอยู่ที่
80% ขณะที่ของนาย Hunt มีเพียง 20%
โดยก่อนหน้านี้นาย Johnson
ซึ่งสนับสนุนให้สหราชอาณาจักรออกจากอียูเคยวิจารณ์ข้อตกลงของนายกฯ
May ว่ามีลักษณะที่ไม่เชิงเป็น Brexit เสียทีเดียว (semi-Brexit)
แต่มีสถานะเสมือน “เป็นเมืองขึ้น” ของอียู เป็นไปได้ว่านาย Johnson
ตั้งใจจะนำพาสหราชอาณาจักรออกจากอียูอย่างแน่นอนภายใน
31 ตุลาคมนี้ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ with deal หรือ no deal
อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วสถานการณ์
Brexit ยังไม่มีบทสรุปที่ชัดเจน
ซึ่งส่งผลให้บรรยากาศการค้าและการลงทุนของไทยไปสหราชอาณาจักรและอียูมีความไม่แน่นอนสูง
นอกจากนี้
กระแสความไม่แน่นอนดังกล่าวยังจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในฐานะที่สหราชอาณาจักรเป็นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่
5 ของโลก
อีกทั้งเป็นศูนย์กลางการเงินของภูมิภาคและของโลก
ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีสัญญาณค่าเงินปอนด์ที่ตกลงอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีแรกของปี
2562 ดังนั้น
ธุรกิจไทยที่เกี่ยวข้องจึงมีความจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป
อ้างอิง : http://thaieurope.net
https://ec.europa.eu/info/sites/info/files/com-2019-276-final_en.pdf
https://ec.europa.eu/info/brexit/brexit-preparedness/national-brexit-information-member-states_en