เมื่อ ‘เวลาเป็นของมีค่า’ On Demand จึงเกิดขึ้น

ตามสถิติในประเทศไทย อัตราการประสบความสำเร็จของคนที่ทำ สตาร์ทอัพ มีน้อยมาก ไม่ถึง 10% และภายในเวลา 1 ปีแรกสตาร์ทอัพหน้าใหม่จะล้มหายตายจากไปไม่น้อยกว่า 50% ภายในปีที่ 2  อีกกว่า 40% ก็จะตามไป และสุดท้ายในปีที่ 3 จะยังคงมีสตาร์ทอัพที่ยืนหยันอยู่ได้ไม่ถึง 10% ซึ่งนั่นเป็นอัตราการคงอยู่ของสตาร์ทอัพหน้าใหม่ที่คุณเองต้องเอาชนะและเป็นอัตราส่วนที่เหลือให้จงได้

สำหรับผู้เริ่มต้น ลองมาทบทวนเรื่องจริงทั้ง 5 ข้อนี้ และเตรียมรับมือให้ดีๆ ก่อนที่คุณจะลงมือทำสตาร์ทอัพของตัวเอง

เพราะสตาร์ทอัพนั้นไม่ต่างอะไรกับการลองผิดลองถูก เราเป็นเหมือนคนที่จะเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบเดิมๆที่เคยเป็น ต้องสร้างในสิ่งที่มันไม่เคยมี ทำให้การจะเดินทางได้อย่างถูกต้องตั้งแต่ครั้งแรกนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้นเราจึงต้องทดลองตลาดด้วยการประหยัดงบประมาณให้น้อยที่สุด เพื่อที่ว่าเมื่อผิดพลาด หรือไม่ตรงใจผู้บริโภคจะได้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทันที ซึ่งทางออกของปัญหานี้ก็คือการสร้าง Prototype หรือตัวต้นแบบขึ้นมานั่นเอง เป็นการลองตลาดว่าสิ่งที่เรากำลังนำเสนอจะมีผู้ใช้บริการจริงมั้ย มีคนต้องการรึเปล่า ซึ่งถ้ามีจริงก็สามารถพัฒนาต่อไปได้ แต่ถ้าไม่ก็จะได้กลับลำแก้ตัวได้ทันท่วงที

สำหรับสตาร์ทอัพ ทีมงานเป็นหัวใจสำคัญมากที่สุด เพราะสตาร์ทอัพเป็นการเริ่มต้นจากคนเพียงไม่กี่คนที่มีความฝัน ความต้องการแบบเดียวกัน ดังนั้นจึงต้องเป็นการลงแรงร่วมกันที่ต้องอาศัยความสามัคคีอย่างมากถึงจะทำให้กิจการเดินหน้าไปได้อย่างราบรื่น และหลายครั้งที่เราต้องพบเจอกับอุปสรรคทั้งเล็กและใหญ่ คนที่มีความแน่วแน่ มีความสามารถ และมีอุดมการณ์ร่วมกันเท่านั้นจึงจะสามารถก้าวผ่านไปพร้อมกับเราได้ หลายครั้งที่สตาร์ทอัพส่วนใหญ่ต้องปิดตัวลงเพียงเพราะการไม่ลงรอยกันของคนในทีม ดังนั้น Founder เริ่มต้นเป็นคนที่สำคัญที่สุดที่จะกำหนดว่าสตาร์ทอัพของคุณจะเดินไปในทิศทางไหน และมีประสิทธิภาพมากเพียงใด เพราะฉะนั้นเลือกกันให้ดี

หลายๆ คนเลือกที่จะลงมือเอง ดำเนินการกันเอง ซึ่งแน่นอนว่ามันสามารถทำได้ แต่จะทำให้เกิดข้อผิดพลาดต่างๆ เยอะมาก รวมถึงมีอุปสรรคอีกมากมายที่ต้องฝ่าฟัน ในทางกลับกัน การที่คุณเข้าร่วมกับโครงการสตาร์ทอัพต่างๆ ที่ปัจจุบันมีหน่วยงานมากมายให้การสนับสนุนและเปิดเวทีต่างๆ ก็จะช่วยให้ผู้มีประสบการณ์หลายๆ ส่วน เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น ช่วยเสนอแนะปรับปรุงสตาร์ทอัพคุณให้พัฒนาขึ้นได้อย่างรวดเร็ว การเข้าแคมป์ที่ใช้เวลาไม่กี่เดือนเหล่านี้จะส่งเสริมให้สตาร์ทอัพของคุณมองเห็นข้อดี ข้อเสีย และหนทางที่จะพัฒนาไปสู่ความสำเร็จได้อย่างชัดเจน เป็นสิ่งสำคัญที่คุณต้องเปิดใจและเข้าร่วมให้ได้แบบไม่มีข้อแม้

คนทำสตาร์ทอัพทุกคนย่อมต้องการการยอมรับในโปรดักส์ที่พัฒนาขึ้นให้ผู้บริโภคเข้ามาใช้บริการ ดังนั้นการพัฒนาโปรดักส์ให้ดีจนตอบโจทย์ให้ถึงที่สุดจึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่คุณเองก็ต้องสร้างสมดุลระหว่างการสร้างการรับรู้กับผู้บริโภคเหล่านั้นด้วย เพราะเมื่อโปรดักส์คุณดี แต่ไม่มีฐานลูกค้าพร้อมใช้บริการ ก็จะนำไปสู่การขาดรายได้ในช่วงแรก ซึ่งอาจส่งผลให้ธุรกิจที่มีต้องหยุดชะงักทั้งทีโปรดักส์ออกมาดีมากแท้ๆ ในทางกลับกัน การที่คุณเริ่มลงมือจริง เดินทดลองตตลาดจริง ออกบูธตามงานต่างๆ เหล่านี้จะช่วยสร้างตัวตนให้คนรู้จักคุณมากขึ้น เป็นการสร้างฐานลูกค้าที่พร้อมจะใช้บริการคุณทันทีเมื่อคุณเปิดตัว

ปัญหาหลักสุดหนักใจที่สตาร์ทอัพส่วนใหญ่เจอ คือเรื่องของการเงิน ซึ่งในช่วงแรกการพัฒนาโปรดักส์นั้นจะยังไม่มีรายได้เข้ามา อาจจะใช้เวลาเป็นปีกว่ามันจะสร้างเงินได้ด้วยตัวเอง ทำให้สตาร์ทอัพส่วนมากต้องพึ่งพา Funding บ้าง หรือต้องพึ่งพานักลงทุนจากการ Pitching ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่คุณควรจะมองหานักลงทุนที่รับฟัง เข้าใจในโปรดักส์ ความต้องการ และเข้าใจในเส้นทางที่คุณจะเดินไป เพราะมีนักลงทุนมากมายที่เมื่อมองว่าโปรดักส์ของคุณไม่คืนทุนให้เขาสักที เขาจะเริ่มเข้ามาเปลี่ยนแปลงมัน แทรกแซง และทำให้จุดประสงค์ดั้งเดิมของคุณหายไป ตรงนี้แหละครับที่จะเป็นตัววัดจิตวิญญาณของความเป็นผู้ประกอบการในเส้นทางสตาร์ทอัพของคุณว่าแน่วแน่กับมันมากน้อยแค่ไหน

สุดท้ายแล้วนี่ก็เป็นเพียงบทเรียนบทนึงที่คุณจะต้องเจอในการทำสตาร์ทอัพและยังมีอุปสรรคมากมายที่รอคอยให้คุณฝ่าฟัน แต่สุดท้ายเมื่อเราเอาชนะทุกสิ่งเหล่านี้ไปได้ ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ก็จะรอคุณอยู่