สหภาพยุโรป(อียู)ถือเป็นตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ขนาดใหญ่ ประชาชนนิยมบริโภคอาหารปลอดสารพิษเพื่อสุขภาพ
ส่งผลทำให้มูลค่าทางด้านตลาดกว่า 30.7 ล้านล้านยูโร หรือกว่า 1.2 ล้านล้านบาท
โดยมีอัตราการขยายตัว 12% ต่อปีและมีแนวโน้มเติบโตไม่หยุด
นี่คือโอกาสทองของประเทศไทยที่จะส่งออกสินค้าปลอดสารพิษไปแย่งส่วนแบ่งตลาดโลก โดย "อียู"
มีส่วนแบ่งตลาด 40% เป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐอเมริกาที่มีส่วนแบ่ง 50%
ปัจจุบันเกษตรกรไทยบางส่วนได้หันมาทำการเกษตรแบบ “ผลผลิตจากเกษตรอินทรีย์ ปลอดสารพิษ” มากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับทั่วโลกในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเกษตรกรปลูกพืชปลอดสารพิษเฉลี่ยอยู่ที่ 3,125,000 ไร่ต่อปี โดยในปี 2559 องค์กร “International Federation of Organic Agriculture Movements” (IFOAM) ได้รวบรวมข้อมูลระบุว่า มีพื้นที่เพาะปลูกเกษตรอินทรีย์ในประเทศสมาชิกอียู รวมทั้งสิ้น 84,375,000 ไร่ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการสินค้าเกษตรอินทรีย์ Organic Food ในอียู
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
เกษตรกรทำอย่างไรเข้าเจาะตลาดอียู
การที่จะเจาะตลาดกลุ่มอียูได้สำหรับภาคเอกชนมีช่องทางการส่งสินค้าเกษตรอินทรีย์มาอียูมี
2 ช่องทางหลัก คือ การติดต่อหาบริษัทนำเข้าหรือตัวแทนจำหน่ายของประเทศนั้นๆ
โดยสามารถติดต่อไปที่สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สคร.)
ของกระทรวงพาณิชย์ ที่ตั้งอยู่ในแต่ละประเทศเป้าหมายเพื่อขอรับรายชื่อบริษัทผู้นำเข้า
ขณะที่อีกช่องทาง คือ
การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าเกษตรอินทรีย์ Organic Food ต่างๆ เช่น งาน Biofach ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติและผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ที่สำคัญและใหญ่ที่สุดในโลก
โดยจะจัดในช่วงเดือน ก.พ. ของทุกปี ที่เมืองเนิร์นแบร์ก ประเทศเยอรมนี ซึ่งการเข้าร่วมงานเหล่านี้จะเป็นโอกาสในการนำเสนอสินค้า
เพิ่มช่องทางการตลาด
และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้เจรจากับผู้นำเข้า/ผู้บริโภคจากทั่วโลกโดยตรง
รวมถึงโอกาสในการสำรวจสินค้าของคู่แข่งและติดตามเทรนด์ของตลาดเกษตรอินทรีย์ระดับโลกอีกด้วย
ความท้าทายใหม่เกษตรอินทรีย์ไทย
เวลานี้เทรนด์บริโภคสินค้าเกษตรอินทรีย์ Organic Food ในยุโรปเวลามาแรง
และมีแนวโน้มที่จะได้รับส่วนแบ่งของตลาดเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตามอียูได้ออกกฎระเบียบฉบับใหม่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์มีความยั่งยืน
มีความเท่าเทียมกันในด้านการแข่งขันมากยิ่งขึ้น โดยสินค้านำเข้าจากประเทศที่สาม
จะต้องมีมาตรฐานเทียบเท่ากับสินค้าที่ผลิตในอียูเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคในอียู
ดังนั้นเกษตรกรไทยที่สนใจและมีความพร้อมส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ต้องขอรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของอียู
ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
แต่ก็น่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาวและเป็นการรับประกันคุณภาพของสินค้าไทยว่า
ได้มาตรฐานสากล
เนื่องจากมาตรฐานของอียูสามารถกล่าวได้ว่าเป็นมาตรฐานที่สูงที่สุดในโลก
น.ส.ณัชชรีย์ นุธรรม ผู้จัดการโรงเรียนชาวนาพุทธศาสตร์ ไร่เชิญตะวัน ต.ห้วยสัก อ.เมือง
จ.เชียงราย
ภายใต้การดำเนินของพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี
กล่าวว่า ชาวนาไทยหากมุ่งมั่นทำเกษตรอินทร์อย่างจริงจังโอกาศยกฐานะเป็นเศรษฐีได้อย่างแน่นอนเพราะการทำเกษตรปลอดสารพิษไม่ต้องลงทุนอะไรมากมายเพราะสามารถใช้วัตถุดิบตามท้องไร่ท้องนานำมาทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์ทำการเกษตรได้โดยไม่จำเป็นต้องไปพึงพาปุ๋ยเคมี
“ชาวนายุคก่อนหรือยุคปัจจุบันยิ่งทำนายิ่งจนเพราะล้วนแต่ทำนาใช้สารเคมี
รายได้ทั้งหมดตกอยู่กับนายทุน
หากเปลี่ยนวิธีคิดทำนาทำเกษตรแนวใหม่ไม่ต้องพึ่งพาสารเคมีโอกาสอยู่รอดมีอย่างแน่นอน
ที่สำคัญทำเกษตรอินทร์ส่งผลดีต่อสุขภาพ ร่ำรวยทั้งจิตใจและร่างกาย
ตรงข้ามกับทำเกษตรที่เน้นใช้สารเคมี มีแต่จนกับจน แถมยังเจ็บป่วยจากสารพิษเคมี
หากไม่เชื่อไปดูที่โรงพยาบาลตามต่างจังหวัดทั่วประเทศชาวนาล้มป่วยล้นโรงพยาบาล
ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากสารพิษเคมี
สอดคล้องกับความคิดเห็นของนายณรงค์
กุลจันทร์ ตัวแทนชาวนาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(อีสาน)จ.มหาสารคาม ให้ความรู้เกี่ยวกับอาชีพทำนาของชาวไทยตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันว่าทางรอดชาวนาไทยในยุคนี้ต้องหันมาทำเกษตรอินทรีย์ลดต้นทุนการผลิต
หากยังเกษตรอิงกับสารเคมีก็ยังตกเป็นทาสนายทุนไม่จบไม่สิ้น
การทำเกษตรอินทรีย์ ในช่วงแรกต้องทำใจเพราะผลผลิตยังให้ไม่เต็มที่ แต่อีก 2-3
ปีจะให้ผลผลิตงอกงามเพราะสภาพดินของท้องนาเริ่มปรับตัวหลังจากใช้สารเคมีมานับสิบๆปี
เช่นเดียวกับมุมมองของนายมนตรี
บุญจรัส กรรมการผู้จัดการ บริษัทไทยกรีน อะโกร(ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ) ยืนยันว่า
เป็นไปอย่างแน่นอนที่เกษตรกรไทยร่ำรวยเพราะปัจจุบันนี้ตลาดทั่วโลกหันมานิยมรับประทานอาหารออร์แกนิก
หากเกษตรกรไทยปรับตัวหันมาทำเกษตรอินทรีย์โอกาสอยู่รอดมีสูงเพราะต้นทุนการผลิตต่ำกว่าการทำเกษตรด้วยเคมี
จากการลงพื้นที่และสัมผัสเกษตรกรไทยทุกวันนี้เริ่มให้ความสำคัญกับเกษตรอินทรีย์ลงทุนน้อยได้กำไรงาม
“ที่ผ่านมาเกษตรกรไทยมุ่งเน้นใช้สารเคมีเป็นหลักเพราะต้องการขายสินค้าให้ได้จำนวนมาก ส่วนใหญ่หวังว่าทำเกษตรเคมีแล้วจะร่ำรวย ลืมตาอ้าปากได้ แต่ตรงข้ามกลับติดหนี้สินนายทุนพะรุงพะรัง ทางรอดของเกษตรกรไทยต้องหันไปทำเกษตรอินทรีย์ Organic Food ผลตอบแทนช้าแต่ยั่งยืน”นายมนตรี กล่าว
ปี 2562 เกษตรไทยจะเดินหน้าไปในทิศทางใด เพื่อทำให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พร้อมกับความภาคภูมิใจในอาชีพของเกษตรกร ที่ไม่ใช่อยู่ในสภาพ “หลังสู้ฟ้าหน้า สู้ดิน” เป็นหนี้เป็นสินล้นพ้นตัวเหมือนบรรพบุรุษที่ผ่านมา