ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงยังคงเติบโตในทุกโอกาส
แม้แต่ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจจากพิษโควิด-19 ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงก็ยังมีการขยายตัว
เนื่องจากสัตว์เลี้ยงมีการบริโภคเป็นประจำ
ประกอบกับผู้เลี้ยงมีความเอาใจใส่ให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัว
ทำให้มีการซื้ออาหารสัตว์เลี้ยงสำรองไว้เช่นเดียวกับสินค้าจำเป็นอื่นๆ
สอดคล้องกับสถิติการส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยในไตรมาสแรกของปี 2563
(มกราคม-มีนาคม 2563) ที่มีมูลค่าส่งออกถึง 466 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 พบว่าขยายตัวกว่า 10%
ในขณะที่การส่งออกไปประเทศคู่ค้าสำคัญหลายตลาดขยายตัวอย่างน่าพอใจ เช่น อินเดีย ขยายตัว 52% มูลค่าการส่งออก 19 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สหรัฐอเมริกา ขยายตัว 19% มูลค่าการส่งออก 104 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อาเซียน ขยายตัว 13% มูลค่าการส่งออก 111 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และออสเตรเลีย ขยายตัว 9% มูลค่าการส่งออก 22.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญในกลุ่มคืออาหารสำหรับสุนัขและแมว มีสัดส่วนการส่งออกมากที่สุดถึง 81%
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงสุนัข-แมวยังเติบโต
ผลการสำรวจความนิยมชมชอบสัตว์เลี้ยงแบบไม่เป็นทางการ
ในกลุ่มคนที่ทำงานบรรณารักษ์และผู้ประกอบวิชาชีพอื่นที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการข้อมูลผ่านหน้าเฟซบุ๊ก
Future Ready and Library Think Tank เพื่อสำรวจว่าสัตว์เลี้ยงประเภทไหนเป็นสัตว์เลี้ยงประจำบ้านยอดนิยมมากที่สุด
โดยมีผู้ร่วมตอบแบบสำรวจกว่า 480 คน จากนานาประเทศเข้าร่วมทำแบบสำรวจนี้ อาทิ
สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย บราซิล โรมาเนีย สหรัฐอาหรับเอมิเรต จีนและพม่า พบว่า
แมวและสุนัขเป็นสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่บรรณารักษ์
ที่อย่างน้อยเลี้ยงสัตว์ 1 ตัว และ 47%
เลี้ยงทั้งสุนัขและแมวร่วมกัน
โดยคนเลี้ยงสุนัขมักจะเป็นพวกอนุรักษ์นิยมและมักจะปฏิบัติตามกฎมากกว่าคนเลี้ยงแมว
นิยมเลี้ยงทั้งในแบบครอบครัว อยู่แบบคู่ ไปจนถึงโสดตัวคนเดียว ส่วนคนที่นิยมเลี้ยงแมวจะอยู่ในกลุ่มคนโสดที่อาศัยอยู่ตามอพาร์ทเม้นท์ตัวคนเดียว
ด้วยความน่ารักของสัตว์เลี้ยงทั้งสองชนิดดังกล่าว ทำให้ผู้คนนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงอย่างสุนัขและแมวเอาไว้เป็นเพื่อนแก้เหงา
และทำให้ความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงยังคงเพิ่มขึ้นแม้อยู่ในช่วงวิกฤต
จากเทรนด์การเลี้ยงสัตว์ของคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนไป
เปลี่ยนจากการเลี้ยงแบบ "Pet Lover" มาเป็น "Pet Parent" ซึ่งเป็นความรักความผูกพันเหมือนคนในครอบครัว
อันเป็นตัวช่วยดันให้ตัวเลขของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอาหารสุนัขเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี
ยิ่งคนผูกพันตลาดอาหารสัตว์ยิ่งขยายตัว
Georgia Regents University และ Cape Fear Community College ได้ทำการสำรวจคนอเมริกันกว่า
500 คนผ่านแบบสอบถาม เพื่อทำการศึกษาเรื่องราวความรักระหว่างคนกับสุนัข
ในประเด็นที่ว่า
"หากมีรถบัสเบรกแตกกำลังพุ่งเข้าชนระหว่างสุนัขที่ตัวเองเป็นเจ้าของ
กับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ตัวเองไม่รู้จักเจ้าของสุนัขจะเลือกช่วยใคร? จะช่วยคนต่างชาติที่ไม่รู้จัก หรือจะช่วยสุนัขแสนรักของตัวเอง
โดยให้เลือกรักษาชีวิตได้เพียง 1 ชีวิตเท่านั้น? พบว่า
คนอเมริกันจำนวน 40 % เลือกที่จะช่วยสุนัขของตัวเอง โดยให้เหตุผลสั้นๆ ว่า
“เพราะฉันรักสัตว์เลี้ยงของฉัน” ส่วนผู้ทำแบบสอบถามอีก 25 % ต่างบอกว่านักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะมีความฉลาดพอที่จะเอาชีวิตรอดด้วยตัวเองได้
แบบสำรวจนี้ช่วยตอบโจทย์เรื่องความรักความผูกพันของคนกับสัตว์เลี้ยง ที่มีอย่างเหนียวแน่นได้เป็นอย่างดีเสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัวหรือญาติพี่น้องแท้ๆ
มีความรักความห่วงใยถึงขั้นทำพินัยกรรมยกเงินหรือทรัพย์สินจำนวนหนึ่งให้แก่สุนัข และจากการศึกษาของ Goldsmiths University ประเทศอังกฤษ พบว่าสุนัขสามารถสัมผัสถึงอารมณ์เศร้าของมนุษย์ได้ และมีวิธีปลอบใจเจ้าของให้คลายเศร้าด้วยการเข้ามาคลอเคลีย
เข้ามาเลียเพื่อปลอบใจให้ความอบอุ่น
ประกอบกับเทรนด์การใช้ชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปด้วย
จึงช่วยดันให้ยอดขายอาหารสัตว์สุนัข-แมวเติบโตพุ่งขึ้นทุกปี ตามพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ของชาว
Millennials ที่มีการแต่งงานช้า มีอัตราการแต่งงานลดลง และมีบุตรน้อยลง
คงอยู่ในสถานะโสดมากขึ้น นิยมพักอาศัยเพียงลำพังมากกว่าอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ จึงทำให้สัตว์เลี้ยงอย่างสุนัขและแมวกลายเป็นเพื่อนคลายเหงาได้ดี
ประกอบกับสังคมคนสูงวัยที่มีมากขึ้น
ทำให้สัตว์เลี้ยงกลายเป็นเพื่อนแก้เหงาแทนลูกหลานของคนชราไปด้วย
ดังนั้นเมื่อเทรนด์การเลี้ยงเปลี่ยนไปจาก "Pet
Lover" เป็น "Pet Parent" ผู้เลี้ยงจึงดูแลเอาใจใส่สุขภาพของสัตว์เลี้ยงตามไปด้วย
จึงทำให้ต่อให้ประสบกับสภาวะวิกฤติเศรษฐกิจชะลอตัว
ปิดล็อกเมืองท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างไร
คนที่รักสัตว์เลี้ยงเหมือนลูกก็จะไม่ปล่อยให้สัตว์เลี้ยงต้องอดอยาก
ตายจากไปอย่างแน่นอน
โอกาสของผู้ประกอบการอาหารสัตว์เลี้ยง
จากสถิติการส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยในไตรมาสแรกของปี
2563 ทีขยายตัวเพิ่มขึ้น 10%
ประกอบกับเทรนด์การเลี้ยงสัตว์ที่เปลี่ยนไป ทำให้ผู้ประกอบการไทยยังมีโอกาสขยายการส่งออกได้
โดยเฉพาะในตลาดคู่ค้าที่ประเทศไทยมีความตกลงการค้าเสรีหรือเอฟทีเอ ที่ทำให้สินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงจากไทยได้แต้มต่อในการแข่งขัน
จากการปลดล็อคกำแพงภาษีศุลกากรกับ 15 ประเทศคู่ค้าเอฟทีเอ ได้แก่ ประเทศในกลุ่มอาเซียน
จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เปรูและฮ่องกง ที่ได้ยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยทุกรายการแล้ว
มีเพียงญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย
ที่ยังคงการเก็บภาษีนำเข้ากับไทยในบางรายการสินค้า
ตลอด 27 ปีที่ผ่านมา
นับตั้งแต่ประเทศไทยทำความตกลงเอฟทีเอฉบับแรกกับอาเซียน
ทำให้การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยกับคู่เอฟทีเอขยายตัวทุกตลาด โดยอาเซียน
ขยายตัวสูงสุด 6,306% รองลงมาคือ จีน ขยายตัว 3,969% เกาหลีใต้ขยายตัว 650% อินเดียขยายตัว 573% นิวซีแลนด์ขยายตัว 531%
และออสเตรเลียขยายตัว 244% ทำให้ในปี 2562
ไทยมีมูลค่าส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงสูงถึง 1,693
ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการส่งออกไปประเทศคู่เอฟทีเอสูงถึง 954 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขึ้นแท่นเป็นผู้ส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับที่ 4 ของโลก รองจากสหภาพยุโรป
สหรัฐอเมริกา และจีน และเป็นผู้ส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับสุนัขและแมวอันดับที่
3 ของโลก รองจากสหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา
ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสอันดีของผู้ประกอบการด้านการผู้ผลิตอาหารสัตว์และผู้ส่งออก
ที่จะได้ศึกษาแนวโน้มและวางแผนการผลิตให้ตรงตามความต้องการของตลาด โดยมีคำแนะนำในช่วงโควิด-19
ที่อาจเพิ่มปริมาณมากขึ้นเพื่อรองรับการกักตุน หรือลดการเลี่ยงออกไปในที่สาธารณะ เป็นการปรับไปตามวิถีชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนไป
โดยอำนวยความสะดวกด้านขนาดบรรจุภัณฑ์ที่ใหญ่ขึ้น และยืดระยะเวลาในการเก็บรักษาให้ยาวนานออกไป
ตลอดจนเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการด้วยวัตถุดิบคุณภาพที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยง
ตามมาตรฐานการผลิตสินค้าให้สอดคล้องกับหลักการสากลด้านสุขอนามัย
และปฏิบัติตามกฎระเบียบการนำเข้าอย่างเคร่งครัด
ให้สินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยสามารถครองใจผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่องตลอดไปทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ.
แหล่งอ้างอิง:
https://www.thansettakij.com/content/Macro_econ/432919
https://marketeeronline.co/archives/68580