ปัจจุบันเทรนด์รักสุขภาพมาแรง ผู้คนต่างหันมาให้ความสนใจสิ่งที่ตัวเองรับประทานและใช้มากขึ้น
‘สินค้าออร์แกนิก’ กลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญสำหรับผู้รักสุขภาพ นำไปสู่คำถามที่ว่า…
‘จะทำอย่างไร? ให้สินค้าออร์แกนิกของธุรกิจคุณอยู่ในใจลูกค้า’
นี่คือโจทย์ที่ ‘ภูตะวัน เฮิร์บ แอนด์ คอสเมติค’ ประดิดประดอยคำตอบด้วยการมุ่งรังสรรค์สินค้าออร์แกนิกเปี่ยมคุณภาพ เพื่อให้ได้ใจลูกค้าทั้งในบ้านเราและต่างประเทศ สู่การเป็นหนึ่งในแบรนด์ชั้นนำผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกของไทยในขณะนี้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
แนวคิดธุรกิจจากสบู่ 1 ก้อน
เริ่มต้นขึ้นในปี 1999 หรือประมาณ 22 ปีที่แล้ว สมัยคุณฉัตรชัย
วงศ์มานะโรจน์ศรี (กัส) ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการบริษัท
ภูตะวัน เฮิร์บ แอนด์ คอสเมติค จำกัด ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
ซึ่งเริ่มทำธุรกิจจากการเป็นเด็กที่ชอบค้าขาย ก่อนจะเจออุปสรรคสำคัญในชีวิตก็คือวิกฤตปี
2540 ทำให้ต้องหยุดทำธุรกิจไปสักพัก ก่อนจะกลับมาค้าขายอีกครั้งจากแรงบันดาลใจในสบู่ก้อนสีเขียว
1 ก้อน
“ตื่นมาเช้าวันหนึ่งเจอสบู่ 1 ก้อนสีเขียวที่แม่ซื้อมา ทำให้ผมพบกับสิ่งมหัศจรรย์ของสบู่อยู่
3 อย่าง ก็คือ
1. เป็นสินค้าใช้แล้วหมดไป เราก็คิดว่าถ้าหมดแล้วจำเป็นต้องซื้อซ้ำ
2. ซื้อมา 1 ก้อนสามารถใช้กันทั้งบ้าน ทำให้รู้สึกว่าสบู่เป็นตลาดกว้าง - ขายได้เยอะ
3. สบู่ไม่มีการโฆษณาทำไมแม่ซื้อ? แสดงว่าสินค้าต้องมีดี จึงเป็นแนวคิดที่ว่าถ้าสินค้าที่เป็น The
Best ยังไงก็น่าจะประสบความสำเร็จ
จึงกลายมาเป็นดีเดย์ของภูตะวันทุกวันนี้ว่า
ต้องขายสิ่งที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุดให้กับลูกค้า”
ก่อนจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นในการหาวิธีทำสบู่ว่าควรจะทำอย่างไร
ซึ่งสมัย 20 ปีที่แล้ว ข้อมูลในการทำไม่ได้หาง่ายอย่างเช่นในปัจจุบัน
ต้องมีการครูพักลักจำ อย่างเช่น แอบอ่านข้อมูลทำสบู่ตามร้านหนังสือไทยและต่างประเทศ
การโทร.ไปสอบถามกลุ่มโอทอปจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ว่าอยากทำสบู่ต้องทำอย่างไร
มีขั้นตอนใดบ้าง ก่อนลองผิดลองถูกนับครั้งไม่ถ้วน จนทำให้รู้ว่าการใช้เครื่องจักรทำสบู่ไม่เวิร์คกับตัวเอง
การทำเนื้อสบู่ขึ้นมาเองให้ผลลัพธ์ดีกว่า
หลังจากนั้นผู้ก่อตั้งภูตะวันใช้เวลาหลังเลิกเรียนหรือเสาร์
- อาทิตย์ ในการคิดค้นทำสบู่จนได้ก้อนแรก ก่อนจึงนำมาให้คุณแม่ทดลองใช้
ปรากฏว่าท่านชื่นชอบหลังจากนั้นจึงทำผลิตภัณฑ์ขึ้นมาเรื่อยๆ และก่อแนวคิดต่อยอดอีกมากมาย
“เราทำสบู่แล้วยังไงต่อ? จึงเกิดไอเดียในการทำสบู่ข้าวหอมมะลิ สบู่คาปูชิโน สบู่หัวไชเท้า
ในสมัยเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ก่อนนำไปจำหน่ายบนเว็บไซต์ตลาดดอทคอม
ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดีในช่วงนั้น เนื่องจากความแปลกใหม่”
ก่อกำเนิดแบรนด์ ‘ภูตะวัน’
เริ่มจากการหาสินค้าที่มากกว่าสบู่
ขณะเดียวกันก็เริ่มทำสบู่ออกสู่ตลาด จากตลาดเล็กๆ หน้าศาลากลางจังหวัด มีการไหว้วานคุณแม่ให้เข้าร่วมกลุ่มโอทอปเพื่อสร้างช่องทางผลิตและจำหน่าย จากนั้นก็ค่อยเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
เนื่องด้วยลูกค้าสนใจใคร่ถามถึงสินค้าปัจจุบันและสินค้าในอนาคต จึงได้เริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์เรื่อยมา
“ผมเติบโตมากับกลุ่มโอทอป ตีตลาดด้วยการออกบูธจำหน่ายสินค้าที่ศาลากลางจังหวัด
สินค้าของเราเป็นแบรนด์สุขภาพ ซึ่งแต่ก่อนไม่ได้ชื่อภูตะวันเพราะว่าชื่อไทยไม่มา
จึงใช้ชื่อแบรนด์เป็นภาษาญี่ปุ่นว่า ‘นากาโน่’ โดยฟังแล้วยังขัดกับความรู้สึกตนเองในขณะนั้นจึงมีแนวคิดอยากเปลี่ยนชื่อแบรนด์
ก่อนจะมีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน แล้วเกิดสปาร์คกับภาพภูเขา
วิวทิวทัศน์ เสียงผู้คนบนดอยชีวิตที่ตื่นมาในเช้าวันใหม่ เกิดไอเดียนำสองคำมาผสมกันก็คือ
ภู(เขา) + ตะวัน ก่อนนำมาใช้เป็นชื่อแบรนด์ตั้งแต่นั้นมา”
ตลาดออนไลน์สมัยก่อนช่วยธุรกิจได้เยอะหรือเปล่า?
“ตลาดออนไลน์ในอดีตเป็นการจุดประกายมากกว่า
คนใช้หาข้อมูลว่ามีอะไรใหม่ๆ มั้ย ส่วนคนที่เข้าไปดูแต่จะซื้อหรือไม่ซื้อเป็นอีกเรื่องนึง
ซึ่งไม่สามารถจบการขายเหมือนอีคอมเมิร์ซสมัยนี้
เพราะคนเข้าไปดูออนไลน์แต่ยังถามหาหน้าร้าน เช่น พี่จะไปหน้าร้านได้ยังไง ซึ่งเป็น Information Base ไม่ใช่
Sale สำหรับค้าขายโดยตรงเหมือนปัจจุบัน แต่ก็มีการขายออนไลน์ก็มีความน่าสนใจคือ
การเป็นของใหม่ในเว็บไซต์ เพราะสมัยก่อนเสิร์ชอะไรแล้วเจอในอินเทอร์เน็ตจะมีความรู้สึกว่าเป็นของใหม่”
สเกลอัพธุรกิจ ‘ภูตะวัน’ จากวิสาหกิจชุมชนสู่เอสเอ็มอี
คุณฉัตรชัย บอกว่า สำหรับภูตะวันมีอยู่
2 ส่วนก็คือ 1. สิ่งที่เราถนัด และปัญหาที่เราพบเจอ คือวงกลมวงแรก 2. การพยายามเข้าใจลูกค้า ปัญหาของลูกค้า
เป็นวงกลมวงที่สอง จากนั้นนำปัญหาลูกค้ามาตีโจทย์
แล้วสุดท้ายนำสิ่งที่เราสนใจกับปัญหาของลูกค้ามาบรรจบกัน จากนั้นก็หาสิ่งที่จะต้องมีร่วมกันว่าเราจะเป็นอะไรได้บ้าง
ซึ่ง SME หรือกลุ่มโอทอป มีความถนัด เก่ง ผลิตภัณฑ์ได้คุณภาพอยู่แล้ว
แต่จะทำอย่างไรให้ลูกค้าที่มีปัญหาใช้สินค้าได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น ใช้ในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น
ซึ่งภูตะวันเข้าใจเรื่องนี้มาตั้งแต่สมัยทำวิสาหกิจชุมชน เช่น ถ้าจะทำเจลอาบน้ำให้เป็นสินค้า
จะต้องทำให้ผู้บริโภคใช้งานง่าย มีการดีไซน์ แพ็กเกจจิ้งต่างๆ
แต่ปัจจุบันอาจจะเลยขั้นเหล่านี้มาแล้ว อาจเป็นดีไซน์ติงกิ้ง บีไฮน์ติงกิ้งไปแล้ว
โดยมี Customer
Centric หรือผู้บริโภคคือศูนย์กลางของปัญหา จะเห็นชัดว่าปัญหานี้คืออะไร
จากนั้นก็พยายามค้นหาปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ตลอดเวลา
เอาปัญหาของผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง เช่น โควิด 19
ปัญหาใหม่ของลูกค้าที่จะเกิดขึ้นคืออะไร ภูตะวันก็จะพยายามหาทางแก้ไข สร้างผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ของปัญหาเหล่านั้น
“ตอนนี้เมื่อเรามองว่าออนไลน์กำลังมา
สถานการณ์โควิด 19 ทำให้ลูกค้าไม่สามารถเดินเลือกซื้อภายในร้านได้
จึงหันไปซื้อสินค้าออนไลน์แทน เราก็ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการซื้อ - ขายออนไลน์ด้วย แต่ในส่วนของออนไลน์เราทำมาหลายปีแล้ว จนปัจจุบันมียอดขายออนไลน์ประมาณ
10 - 13% จากรายได้ทั้งหมดของบริษัท ที่สำคัญภูตะวันมีการสร้างประสบการณ์ตรงก่อนลูกค้าจะสั่งซื้อสินค้า
เช่น การส่งกระดาษเทสต์ไปให้ผู้บริโภคทดสอบทางไปรษณีย์
พอได้เทสต์แล้วเกิดสนใจก็จะสั่งออเดอร์กลับมา”
บริหารหลังบ้าน – ขยายกิจการ มองโอกาสให้เป็น
คุณฉัตรชัย ขยายมุมมองการทำธุรกิจอีกว่า การบริหารหลังบ้านจะมองเป้าหมายไว้ว่าเราจะไปที่ไหน? ไปอย่างไร? เช่น ‘ภูตะวัน’ จะเป็นสินค้าไทยที่ส่งออกได้
มีภาพฝันว่าร้านจะไปอยู่ที่ต่างประเทศได้ เช่น จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ หรือยุโรป พอมีภาพนั้นแล้วก็จะค่อยๆ
ถอดแปลนออกมาว่าการที่จะไปถึงจุดนั้นได้ต้องทำอะไรบ้าง แล้วค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ
ขณะที่การขยายธุรกิจ เช่น ‘การตั้งโรงงาน’ ทุกกิจการจำเป็นจะต้องมีการวางแผน
อาทิ ในเรื่องของการผลิต ซึ่งพอมียอดขาย 30 - 40 ล้านบาท ก็จะต้องเจอคู่ค้าทางธุรกิจ ต้องเจอบททดสอบทั้งภายใน
ภายนอกอีกหลายด้าน ดังนั้นหากไม่จัดการเกี่ยวกับเรื่องบัญชี ก็จะสเกลอัพไม่ได้ บริหารจัดสต็อก
การจัดการธุรกิจไม่ได้
และพอเราเริ่มเข้าใจแล้วว่าปัญหาจะเริ่มเกิดจากการที่เราไม่ทำอะไรบางอย่าง
ซึ่งสิ่งนั้นจะบังคับให้เราทำอะไร หรือเผชิญกับปัญหาอะไรสักอย่างที่อาจนำมาสู่ปัญหาใหญ่ได้
ดังนั้นภูตะวันจึงนำการบริหารจัดการเข้ามาใช้ เช่น คนต้องตรงกับศักยภาพ การขาย
การเติบโตของเรา นอกจากนี้ก็มีการนำซอฟต์แวร์มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับองค์กร
ถอดแนวคิด Natural Connect
People
คุณฉัตรชัย บอกว่า เมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว ที่ทางเราต้องการทำโครงการที่มากกว่า CSR
จึงนำไปสู่โครงการ Natural Connect People ซึ่งเป็น
Mind Mapping ใหญ่ก่อนแตกโครงการ - กิจกรรมต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องยิบย่อยออกไป เช่น ชุมชนต้องมีอะไร ต้องพัฒนาด้านไหนบ้าง
เพื่อเชื่อมโครงการให้เข้ากับคนจริงๆ แล้วเกิดสิ่งดีๆ ขึ้นมา
“People
ในที่นี้มี 3 ส่วนคือ เกษตรกร, ทีม (พนักงาน)
และลูกค้า โดยภูตะวันใช้คอนเน็กต์พีเพิลทั้งสามเข้าด้วยกัน แล้วมาดูว่าจะสามารถแตกยอดเป็นโครงการที่ยั่งยืนอะไรได้บ้าง
ดังนั้นการทำโครงการจะมีความชัดเจน ทำให้รู้สึกว่าเราจะอยู่กับสิ่งนั้นได้นาน
ยั่งยืน สุดท้ายโครงการอยู่ได้ 3 ปี 5 ปี
และสามารถติดตามผลได้ ซึ่งโครงการนี้เป็นมากกว่า CSR เป็นการทำให้กิจกรรมซึมเข้าไปอยู่ในธุรกิจ”
คุณฉัตรชัย เล่าอีกว่า เขาชวนพนักงานกลับไปทำ Connect People ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนอีกครั้ง เพื่อหาความลับว่ามีอะไรบ้างที่นำมาสร้างประโยชน์ได้
จนไปพบว่ามีตะไคร้แดง ที่ชาวบ้านปลูกหน้าบ้าน ซึ่งไม่เหมาะกับการนำไปประกอบอาหาร
แต่กลับมีกลิ่นหอมรุนแรงกว่าตะไคร้ธรรมดา มีความเข้มข้นของกลิ่นรุนแรงกว่า
ภูตะวันจึงอยากทำโครงการ Natural Connect People โดยการนำพนักงานในส่วน R&D และ ISO ไปช่วยพัฒนาแปลงปลูก พอได้ผลผลิตแล้วการจะรับซื้อผลผลิตเลยก็มีมูลค่าน้อย
รวมทั้งการนำวัตถุดิบมาสกัดที่กรุงเทพฯ ก็เป็นเรื่องยาก ดังนั้นสิ่งที่ภูตะวันทำก็คือมอบเครื่องสกัดน้ำมันหอมระเหยให้กับเกษตรกร
เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตด้วยการแปรรูป
“ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา
ภูตะวันอาจจะไม่ได้เติบโตเท่ากับแบรนด์ใหญ่ แต่เราสามารถเป็นพี่ใหญ่ให้กับเกษตรกรได้
Value Chain ไม่ได้อยู่ที่แบรนด์หรือบริษัท
แต่อยู่ที่เกษตรกร”
ปัจจุบันภูตะวันมุ่งไปที่สินค้าออร์แกนิกชัดเจน
ซึ่งออร์แกนิกที่ว่าเป็นแบบเข้มข้นสู่การเป็น ‘Premium Mass
Organic’ หรือออร์แกนิกแท้ๆ ที่ผลิตสินค้าคุณภาพดีราคาจับต้องได้สำหรับทุกคน
เพราะออร์แกนิกไม่ใช่เทรนด์ แต่คือสิ่งที่ทุกคนควรได้รับ