เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีการสัมมนาที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับวงการข้าวในบ้านเราไฮไลท์การประชุมโฟกัสไปที่ประเด็น “การเจาะตลาดผลิตภัณฑ์นวัตกรรมข้าวไทยในตลาดโลก” ซึ่งกระทรวงพาณิชย์และสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยจัดขึ้นในงานประชุม Thailand Rice Convention 2019 สาระสำคัญเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับ “การต่อยอดนวัตกรรม”เพื่อจะหาทางสร้างมูลค่าเพิ่มให้ข้าวไทยแทนการส่งออกแบบวัตถุดิบที่มีมูลค่าต่ำๆ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
มีสถิติตัวเลขที่น่าสนใจระบุว่าการส่งออกเกษตรกรแปรรูปที่ผ่านมามีมูลค่ามากถึง
17,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 1.7% ต่อปี แต่เชื่อหรือไม่ว่าเป็นการส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวแค่ 350 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี หรือประมาณ 11,200 ล้านบาท
ส่วนใหญ่เป็นการแปรรูปขั้นกลาง เช่น แป้ง ขนมปัง เส้นก๋วยเตี๋ยว
ส่วนการแปรรูปขั้นปลายหรือที่ต้องใช้เทคโนโลยีสูงๆ เช่น
การดึงโปรตีนจากข้าวมาทำเปปไทด์ลดริ้วรอย
หรือการแปรข้าวเป็นน้ำตาลมาใช้ผลิตเป็นสารชำระล้างยังมีน้อย
แต่ถ้ามองในแง่ดีก็จะเห็นว่าตลาดแปรรูปขั้นปลายนี้ยังมีช่องว่างที่มีโอกาสขยายไปได้อีกมาก
กล่าวสำหรับผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวที่ตลาดมีความต้องการเพิ่มขึ้นนั้นมีมากมายหลายชนิด แต่ที่เริ่มได้รับความนิยมสูงมาก ๆ ในต่างประเทศ คือ ข้าว Low GI หรือ “ข้าวบรรเทาเบาหวาน” ซึ่งขณะนี้มีบริษัทผู้ผลิตอาหารสุขภาพกำลังให้ความสนใจว่ามีข้าวสายพันธุ์ใดบ้างสามารถนำไปผลิตเป็นข้าวชนิดนี้ การนำข้าวไปผสมกับควินัว/ถั่ว การสกัดโปรตีนจากข้าว การผลิตเป็น plant base protein, red yeast rice, การสกัดเป็นอาหารเสริมสำหรับผู้ชาย gamma oryzanal, GABA, การผลิตเป็น brat diet เป็นอาหารสำหรับเด็ก เป็นต้น
ในที่ประชุมได้นำเสนองานวิจัยของบริษัทเอกชนที่ประสบความสำเร็จ
เช่นบริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น จำกัด
ผู้วิจัยและพัฒนาสารสกัดสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและเวชภัณฑ์จากข้าว
ซึ่งได้รับรางวัล Agri Plus Award
โดยบริษัทได้วิจัยพัฒนาโปรตีนสกัดจากข้าว หรือ rice peptides ช่วยลดริ้วรอย
กระตุ้นการเกิดผม และสเต็มเซลล์จากข้าวชื่อ Ricallas ซึ่งเป็นสเต็มเซลล์จากพืชชนิดแรก
สเต็มเซลล์ข้าวนี้มีคุณสมบัติในการลดริ้วรอย
สามารถนำไปใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางแอนติเอจจิ้ง และกระตุ้นการงอกของผม
สามารถจำหน่ายได้ในราคา กก.ละ 30,000-40,000 บาท
สร้างมูลค่าเพิ่มจากเดิมที่ขายข้าวสารราคา กก.ละ 30-50 บาท
ก่อนหน้านี้บริษัทมีการพัฒนาและจดสิทธิบัตรนวัตกรรมจากข้าว
RICCOSIDE ซึ่งเป็นสารชำระล้างที่ได้จากการย่อยสลายคาร์โบไฮเดรตจากข้าวมาเป็นน้ำตาล
และนำมาทำปฏิกิริยากับน้ำมันมะพร้าว
สารดังกล่าวสามารถใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตแชมพู สบู่ น้ำยาล้างขนตาจากพืชทดแทนสารเคมี
และสารให้ความชุ่มชื้น (MoistuRice) ช่วยทำให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น กก.ละ 300-400 บาท\
รศ.ดร.พรรณวิภา กฤษฎาพงษ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น จำกัด
เล่าให้ที่ประชุมฟังว่า “ในเมล็ดข้าวมีโปรตีนเป็นส่วนประกอบประมาณ 2% ซึ่งเราทดลองสกัดเปปไทด์จากข้าว
สามารถเพิ่มมูลค่าจากที่เคยขายข้าวได้ กก.ละ 30-50 บาท
หากนำสารสกัดโปรตีนนี้ไปใช้ผลิตอาหารเสริม เครื่องสำอาง ขายได้เพิ่มเป็น กก.ละ
30,000-40,000 บาท ขณะที่ส่วนประกอบอีก 98% ของเมล็ดข้าวเป็นคาร์โบไฮเดรต
เรานำมาย่อยเป็นน้ำตาลและทำปฏิกิริยากับน้ำมันมะพร้าว พัฒนาเป็นสารชะล้าง
ใช้ผสมในแชมพู น้ำยาล้างขนตา แทนการใช้สารเคมี ขายได้ กก.ละ 300-400 บาท
และอยู่ระหว่างพัฒนาทำสเต็มเซลล์จากข้าว ได้ลดริ้วรอยได้ดี
หากสามารถพัฒนาต่อยอดก็จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าข้าวได้มากขึ้น”
“สำหรับแผนการทำตลาดในปีแรก
บริษัทเน้นผลิตวัตถุดิบให้กับกลุ่มผู้ผลิตเครื่องสำอาง ซึ่งขณะนี้มีการเจรจาอยู่
2-3 ราย และในส่วนของสารชำระล้างแบรนด์ RICCOSIDE
ได้มีการจำหน่ายเข้าไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ เช่น บำรุงราษฎร์ ทั้งนี้
วางเป้าหมายว่ายอดขาย 400-500 ล้านบาท” รศ.ดร.พรรณวิภา กล่าว
นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอผลงานของบริษัท ไดมอนด์ เฟรช โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตน้ำนมข้าวยาคูออร์แกนิกโดยนายสมควร ศรีวิทิตกุล กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดข้าวแปรรูปยังเติบโตไปได้อีกมากโดยเฉพาะการแปรรูปเป็นอาหารสุขภาพ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญด้านนี้ และการเข้าสู่สังคมสูงวัย ซึ่งจากการศึกษาวิจัยของบริษัทพบว่า ข้าวมีสารไบโอแอ็กทีฟซึ่งมีคุณสมบัติลดแรงดัน ป้องกันมะเร็งมีสารต้านอนุมูลอิสระ จึงได้นำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าวยาคู และสามารถส่งออกไปยังตลาดจีนได้
การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากข้าวไม่เพียงสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับข้าว
แต่ยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรลดความผันผวนของราคาข้าวด้วย
สิ่งสำคัญจะต้องสร้างความแตกต่างให้ผลิตภัณฑ์
และให้ความรู้กับผู้บริโภคให้รู้คุณค่าของข้าว
และต้องจดทะเบียนคุ้มครองเครื่องหมายการค้า ป้องกันการลอกเลียนแบบ
แนวโน้มการส่งออกข้าวยังมีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก
โดยปี 2563 ไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (เกิน 60 ปี) สัดส่วน 12% และ 22% ของประชากรโลก
ซึ่งผู้บริโภคกลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับการใช้ “โภชนาบำบัด”
หรือการรับประทานอาหารที่เป็นยา จึงเป็นโอกาสที่เกษตรกรไทย
ธุรกิจเอกชนและผู้ส่งออกไทย สามารถผลิตตอบโจทย์ได้ก็จะเป็นโอกาสสร้างรายได้เข้าประเทศมากขึ้น