สำหรับโซเชียลมีเดียเจ้าดังอย่าง
Facebook ที่เคยกรุยทางสร้างเศรษฐีรุ่นใหม่อายุน้อยร้อยล้านมาหลายราย
นับตั้งแต่เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 2004 ซึ่งเป็นเวลา 16 ปีแล้วที่
Facebook เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คน
ขณะที่ปัจจุบันมีช่องทางโซเชียลมีเดียที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้ผู้คนเกิดการไหลไปใช้บริการแพลตฟอร์มอื่น
จึงทำให้การทำตลาดบน Facebook
อาจไม่ใช่ช่องทางเดียวที่สามารถพึ่งพาได้ในการขายออนไลน์แบบโซเชียลคอมเมิร์ซอีกต่อไป
เพราะนอกจากผู้คนจะไหลออกไปใช้บริการบนแพลตฟอร์มอื่นกันมากแล้ว
ยังมีต้นทุนค่ายิงแอดซื้อพื้นที่โฆษณาที่สูงขึ้น ผลลัพธ์ที่อาจไม่คุ้มค่า
จนอาจเป็นผลทำให้ต้นทุนในการทำธุรกิจเพิ่มขึ้นด้วย แม้แต่การหันไปหาแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสเจ้าดังอย่าง
Lazada , Shopee หรือ Amezon ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกเช่นกันเพราะทุกวันนี้
ต้องเผชิญกับสงครามราคาทั้งในและต่างประเทศ แถมคู่แข่งเยอะมาก
แล้วจะทำอย่างไร? ในเมื่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงไม่สิ้นสุด การทำหน้าร้านปกติในช่วงนี้ก็มีต้นทุนสูง การขายออนไลน์ก็มีคู่แข่งเต็มไปหมด นี่จึงเป็นคำถามที่บีบคั้นและเป็นโจทย์อันท้าทายในการทำตลาดออนไลน์ในยุคนี้ ยุคที่มีการขายออนไลน์มากกว่ากำลังการซื้อของผู้คนที่ลดลง ต่อให้มีพฤติกรรมแบบ New normal เข้ามาทำให้คนหันมาจับจ่ายผ่านช่องทางการซื้อขายออนไลน์มากขึ้นก็ตาม สถานการณ์นี้ก็มีทีท่าว่าจะยังคงอยู่ต่อไปในอนาคต จากสภาพเศรษฐกิจและการไม่เชื่อมั่นในรายได้ของผู้บริโภค ท่ามกลางพิษเศรษฐกิจโควิด-19 ที่แผ่กระจายไปทั่วโลก
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ดังนั้นการทำธุรกิจให้ก้าวข้ามปัญหาที่เกิดขึ้น
จึงเป็นเรื่องที่ต้องมานั่งขบคิดมากกว่าการหาช่องทางการขยายตลาดในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจจากโควิด-19
โดยเฉพาะประเภทธุรกิจที่ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญสำหรับการครองชีพ
ในขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคนั้นพร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
และทรงอิทธิพลจนกลายมาเป็นตัวกำหนดสินค้าหรือการตลาด
การหนุนจุดแข็งและดำเนินการบนความยืดหยุ่นสูง
เพื่อตอบสนองต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงเร็ว รวมถึงสร้างความแตกต่างให้แก่สินค้าและการใช้สื่อโซเชียล
ร่วมกับการหันไปพัฒนาแพลตฟอร์มของตัวเอง จึงยังคงไม่พอจะช่วยขับเคลื่อนตลาดได้หากไม่ดึง
SEM (Search Engine Marketing) และ SEO ( Search Engine Optimization) เข้ามาช่วยด้วย
โดย
SEM กับ SEO ต่างมีเป้าหมายเหมือนกันนั่นคือนำมาช่วยขับเคลื่อนและผลักดันธุรกิจให้เป็นที่รู้จัก
ด้วยการแข่งขันกันขึ้นอันดับของ Search Engine อย่าง Google
เพื่อดึงผู้คนที่สืบค้นข้อมูลต่างๆ บน Google
เข้ามาสู่ธุรกิจตนซึ่งจะเป็นตัวช่วยตอบโจทย์การตลาดออนไลน์ได้รอบด้าน
ในการทำตลาดออนไลน์ยุคนี้
ข้อมูลจาก
Smart In sights ระบุไว้ในปี 2017 ว่าเว็บไซต์ที่ปรากฏเป็นอันดับแรกจากการค้นหาบน
Desktop มี CTR สูงมากถึง 31.52% ขณะที่การค้นหาบน Mobile เว็บที่ขึ้นอันดับหนึ่งมี CTR สูงถึง 24.05% นั่นเป็นตัวเลขบ่งชี้ได้ว่าโอกาสที่ผู้คนจะค้นเจอธุรกิจบน Google
นั้นมีสูงขึ้นด้วย
นอกจากนี้ผลทางสถิติของ
Google ในปี 2019 ยังพบว่า Organic Reach บน Google มาจาก Desktop 62% และ Mobile
41% ส่วน CTR
เฉลี่ยบน Google
มาจาก Desktop 3.17% และ Mobile
4.1%
ดังนั้นการออกแบบเว็บไซต์ให้ธุรกิจ จึงควรคำนึงถึงการรองรับการใช้งานบน Smart
Phone ควบคู่ไปกับการทำ
SEM และ SEO ด้วยเช่นกัน
ซึ่ง CTR หรือ Click
Through Rate คือ
อัตราส่วนที่บ่งบอกว่าผู้เข้าชมมีการคลิกโฆษณาของเราบ่อยครั้งแค่ไหน เป็นหนึ่งใน KPI ใช้วัดคุณภาพของ Keywords ที่ใช้ในการทำ Search นั้นมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดก่อนจะประมวลผลในขั้นต่อไป
นั่นคือการนำข้อมูลมาปรับคีย์เวิร์ดให้เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น เพิ่มอัตราการคลิกให้มากขึ้น
ด้วยการปั้นคีย์เวิร์ดที่สำคัญ ซึ่งจะสัมพันธ์กับ Text Ads ในการทำ SEM
ดังนั้นถ้าเมื่อใดก็ตามที่ประเมินผลออกมาแล้วพบว่ามีเปอร์เซ็นต์ค่า
CTR สูง นั่นจะบ่งบอกได้ว่าโฆษณาที่ทำ SEM เป็นที่น่าสนใจ แต่ในทางกลับกันถ้าค่า CTR
มีเปอร์เซ็นต์ต่ำ นั่นหมายถึงโฆษณาไม่น่าสนใจ ซึ่งการจะทำให้
CTR มีเปอร์เซ็นต์สูงขึ้นหรือทำให้คนสนใจคลิกโฆษณามากขึ้น จึงขึ้นอยู่กับ
Keyword ที่จะต้องสัมพันธ์กับการ Search ให้ตรงกับการค้นหามากขึ้น
เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่าคู่แข่ง รูปภาพและข้อความบน Display Ads
ต้องน่าสนใจ โปรยให้คนอยากคลิกเข้ามาอ่านหรือเข้าชมเว็บไซต์ โดยการเลือกกลุ่ม Target Audience
ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
ด้วยความสำเร็จในการโฆษณาออนไลน์นั้น
มีความเชื่อมโยงจากการเลือกใช้ keyword และการเสิร์ชหาข้อมูลเป็นสำคัญ
ตามสูตรในการหาค่า CTR ที่ว่าต้องใช้จำนวนคลิก / จำนวนครั้งที่โฆษณา X 100 จึงจะเห็นเปอร์เซ็นต์ CTR
ที่จะมาช่วยวัดผลความสำเร็จของการทำ SEM
แต่การใช้
SEM อย่างเดียวอาจให้ผลสำเร็จเร็วตามที่คาดหวัง หากแต่ยังไม่ช่วยเสริมเรื่องการทำตลาดออนไลน์ให้แกร่งขึ้นได้
ด้วยมีต้นทุนในการจัดการมากด้วยเช่นกัน ผู้ประกอบการจำต้องพิจารณาใช้ SEO
ช่วยควบคู่ไปด้วย เนื่องจากมีต้นทุนต่ำกว่า
SEM แม้จะต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ แต่ก็เป็นการวางรากฐานทางตลาดออนไลน์ที่มั่นคงกว่าการจะทำให้เว็บไซต์ธุรกิจติดอันดับต้นๆ
ของ Search engine ต้องอาศัยการใช้คีย์เวิร์ดและเนื้อหาที่โดดเด่นทั้งด้านบทความและวิดีโอ
ที่จะส่งผลให้ Bot ของ Search Engine วิ่งเข้ามาเก็บข้อมูลบ่อยๆ
และช่วยให้เว็บติดอันดับแรกในหน้า Search ได้ภายใต้เทคนิคในการจัดการกับเนื้อหาในบทความที่จะทำให้
บทความนั้นถูกดึงเข้าสู่ Google และตัดอันดับต้นๆ ได้
ซึ่งเรื่องเหล่านี้ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรให้ความสำคัญในการรุกพื้นที่ตลาดออนไลน์
ท่ามกลางการแข่งขันที่มีแต่จะดุเดือดยิ่งขึ้นทุกวัน
เพราะการขายสินค้าออนไลน์ในปัจจุบัน แข่งกันทุกรูปแบบ ทั้งราคา คุณภาพ การบริการ การจัดส่ง และผู้ซื้อมักจะมีการสืบค้นข้อมูล เปรียบเทียบก่อนตัดสินใจซื้อเสมอ ดังนั้นถ้าสินค้าคุณสามารถติดอยู่ในหน้าแรกๆ ของ Google ได้ ก็ถือว่าจะได้เปรียบคู่แข่งรายอื่นอย่างมาก ดังนั้นอย่ามองข้ามการตลาดบน Google อย่างเด็ดขาด