การใช้ชีวิตปกติทั่วไปในแต่ละวันอาจไม่เป็นเรื่องปกติสุขเสมอไป
หากใจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์หรือคนรอบข้าง วันปกติที่ควรจะปกติเหมือนที่ผ่านมาก็อาจกลายเป็นวันย่ำแย่
จนทำให้ใจต้องแบกรับอารมณ์ความรู้สึกหน่วงหนักด้านลบ บนความสะเทือนใจจากเหตุการณ์ต่างๆ
ที่ต้องเผชิญในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน หรือส่วนตัวล้วนเป็นเรื่องที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง
และอาจทำให้วันนั้นทั้งวันกลายเป็น Bad day ที่ยากจะลืมหรือผ่านพ้นไป
คงไม่ดีแน่ถ้าปล่อยให้ฝังใจจำไปนานๆ ด้วยอาจกลายเป็นการบ่มเพาะสัญญาณของโรคซึมเศร้า ทำจิตใจหดหู่ ท้อแท้ สิ้นหวัง ที่จะทำให้ชีวิตหน่วงหนักไปกว่าเดิม ฉะนั้นเพื่อให้ชีวิตห่างไกลจากความเสี่ยงดังกล่าว การล้างพื้นที่ใจให้สดใหม่แบบวันต่อวัน เพื่อการมีชีวิตอยู่ต่อไปในอีกวันข้างหน้าที่อาจจะเจอเหตุการณ์เลวร้ายทำเสียความรู้สึกในแบบเดิมได้อีก จึงเป็นสิ่งที่พึงกระทำ โดยคำแนะนำดังต่อไปนี้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
1. บอกตัวเองว่า “This will shall too pass” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องย่ำแย่หรือน่ายินดีแค่ไหน มันจะตั้งอยู่ในชีวิตเราไม่นาน
เมื่อกาลเวลาผ่าน เรื่องดีร้ายเหล่านั้นก็จะผ่านพ้นไป เหมือนขบวนรถไฟที่จะวิ่งมาจอดเทียบท่ารับผู้โดยสารที่ชานชาลา
นั้นก็เป็นแค่ชั่วคราวตามเวลาเทียบท่า
เมื่อถึงเวลารถไฟขบวนนั้นก็จะต้องเคลื่อนตัวผ่านไปสู่ชานชาลาอื่นๆ เช่นกันรถไฟก็ไม่สามารถจอดแช่อยู่ชานชาลาใดชานชาลาหนึ่งได้นานตราบที่ยังต้องวิ่งไปให้ถึงจุดหมายปลายทางที่กำหนด
2. เข้าใจเรื่องกรรม จะทำให้สบายใจ หากเราคิดว่าเรื่องนั้นเราทำดีที่สุดแล้ว แต่ยังไม่สามารถบรรลุถึงผลลัพธ์อันดีที่คาดหวัง
ซึ่งคนอื่นอาจมีอิทธิพลต่อผลสำเร็จนั้นๆ ความรู้สึกผิดหวัง ไม่ได้ดั่งใจ
น้อยเนื้อต่ำใจ ย่อมเกิดขึ้นเป็นอารมณ์กดตัวเองให้ต่ำลง จนรู้สึกย่ำแย่
ให้คิดว่ามันเป็นเรื่องของเวรกรรม หรือกฎแห่งการกระทำ ตามหลักของพระพุทธองค์ไป
จะได้ไม่ต้องไปหาเหตุผลย้ำคิดเตือนตนอยู่ว่าทำไม? เราไม่ดีตรงไหน? เพราะอะไร?
ให้จิตตกเศร้าหมองเข้าไปใหญ่ ฉะนั้นแทนที่จะมาหาเหตุผลที่เราตอบตัวเองไม่ได้
ให้ยกเป็นเรื่องของเวรกรรมในอดีตไป จะได้สบายใจในความหมายที่ว่า “เราคงเคยทำกรรมกับเขาไว้หรือทำกรรมแบบนี้ไว้
จึงได้รับผลของกรรมนั้นๆ ต้องยอมรับอย่างเต็มใจ จะได้หมดเวรกรรมกันไปในชาตินี้”
แล้วจะสบายใจทิ้งผ่านเรื่องราวย่ำแย่ที่ค้างคาอยู่ในจิตใจลงไปได้
3. ยอมรับว่าเรื่องแย่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เข้มแข็งและเติบโต
มองปัญหาหรืออุปสรรค ประสบการณ์เลวร้ายที่พบเจอ
ว่าเป็นเครื่องทดสอบที่จะมาช่วยลับคมชีวิตให้แข็งแกร่งและเติบโต
โดยหยิบยกคำดูถูกหรือเหตุการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกแย่ มาเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิงให้ฮึดสู้และเติบโต
เหมือนเพชรที่เกิดจากการตกผลึกของคาร์บอนที่ก่อตัวใต้ผืนโลก ภายใต้แรงดันมหาศาลและความร้อนใต้เปลือกโลกนับเป็นเวลาหลายล้านปี
ก่อนจะเคลื่อนตัวขึ้นมาพร้อมกับการระเบิดของภูเขาไฟ ให้ผู้คนได้ค้นพบอัญมณีที่มีความแข็งแกร่งที่สุดในโลก
และมีมูลค่าสูงกว่าอัญมณีทั่วไป
4. จดบันทึกระบายทุกความรู้สึกใส่ Diary การมีสมุดบันทึกเล่มโปรดเอาไว้เขียนระบายความรู้สึกเหตุการณ์ประจำวันไว้ข้างกาย
ช่วยได้ดีกว่าการไป ‘บ่น’ สิ่งต่างๆ ที่ทำให้เรารู้สึกย่ำแย่ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ที่อาจส่งผลด้านลบกลับมาได้อย่างแน่นอน
เพราะสามารถใส่ทุกความรู้สึก เหตุการณ์ บุคคล ระบุสถานที่ และสิ่งต่างๆ ได้ตามใจ
โดยไม่ต้องมารักษาภาพลักษณ์หรือกลัวใครจะมองเราผิดพลาดไปจากจุดประสงค์ในการสื่อสาร
อีกทั้งยังใช้ได้ทุกภาษา แม้แต่ภาษาที่สังคมมองว่าไม่มีมารยาทหรือไม่สุภาพ และยังสามารถหยิบมาอ่านทบทวนชีวิตตัวเองได้ตามที่ตัวเองต้องการ
เพื่อให้รู้ถึงอารมณ์ ตัวตน และภูมิใจที่ก้าวข้ามเรื่องราวไม่ดีในวันวานมาได้
5. ฝึกเป็นคนลืมง่ายให้ได้ตั้งแต่วันนี้
การฝึกตนให้เป็นคนขี้ลืมง่าย เป็นปราการที่จะช่วยให้พื้นที่หรือ
memory ชีวิตไม่หน่วง หนัก อืด ทำงานล่าช้า เพราะพื้นที่การจัดเก็บใกล้เต็ม
โดยเฉพาะเรื่องของคน สิ่งของ หรือประสบการณ์ย่ำแย่ที่ทำให้ไม่สบายใจ การปล่อยวาง
ขว้างทิ้ง โดยไม่เอาอารมณ์ไปกำหนด หรือเอาจิตไปจับต้อง จะทำให้จิตสั่งการสมองแบบอัตโนมัติเองว่า
เรื่องนี้ไม่มีค่าความสำคัญมากพอที่จะเก็บไว้ใน Hard drive ของจิตใจ
และลืมผ่านมันไปได้ เมื่อไม่มีการเรียกใช้งานซ้ำ ฉะนั้นจึงเหลือแต่พื้นที่ไว้จดจำในสิ่งดีๆ
เพียงเท่านี้ก็จะทำให้เป็นคนลืมง่าย ปล่อยวางได้ไว
และไม่ค่อยยึดติดกับอารมณ์ที่วิ่งมากระทบให้ใจขุ่นมัว