แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจเอสเอ็มอี
จะสูงกว่าเศรษฐกิจโดยรวมเล็กน้อย เนื่องจากบางกลุ่มเป็นธุรกิจเกิดใหม่ที่กำลังเติบโต
ฝ่ายวิเคราะห์สถานการณ์และเตือนภัยทางเศรษฐกิจ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(สสว.) ได้สำรวจข้อมูลธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2562 พบหลายธุรกิจมีแนวโน้มการเติบโตอย่างน่าสนใจ
สำหรับสาขาธุรกิจ SMEs ในช่วงไตรมาส 3 ที่ขยายตัวได้ดีกว่าไตรมาสที่แล้ว ได้แก่ ธุรกิจบริการที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ธุรกิจการเงินและการประกันภัย ธุรกิจด้านศิลปะความบันเทิงและนันทนาการ และบริการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า ขณะที่ SMEs ในธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง รวมถึงธุรกิจบริการข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร ยังคงเป็นธุรกิจที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่องแม้ว่าจะชะลอตัวลงจากไตรมาสที่แล้ว
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
จากการสำรวจพบว่าปัจจัยที่สำคัญต่อการขยายตัวของธุรกิจ SMEs ยังคงมาจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยว
ซึ่งได้รับอานิสงค์จากการขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากเอเชียใต้
และเอเชียตะวันออกอื่นๆ นอกเหนือจากนักท่องเที่ยวจีน
นอกจากนี้ ธุรกิจ SMEs ภาคการค้าปลีกค้าส่ง และธุรกิจบริการขนส่งพัสดุ
ยังคงเติบโตได้สูงจากการขยายตัวของธุรกิจ e-commerce
ขณะที่กลุ่ม SMEs ที่มีแนวโน้มหดตัวลง เช่น สาขาการผลิต หดตัวลง
1.5% ต่อเนื่องจากการหดตัว 0.2% ในไตรมาสก่อน ซึ่งมาจากการหดตัวของอุตสาหกรรมการผลิตวัตถุดิบ
เช่น การพิมพ์ ยางและพลาสติก และอุตสาหกรรมสินค้าทุนและเทคโนโลยี เช่น เครื่องจักร
คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ซึ่งเป็นผลกระทบจากภาคการส่งออกที่หดตัวลง
เนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ส่งผลกระทบต่อประเทศคู่ค้าอย่างไทย
ทางด้านกลุ่มธุรกิจก่อสร้างที่ชะลอตัวตามการก่อสร้างที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล
รวมทั้งเขตเทศบาล สาขาธุรกิจที่สำคัญอื่นๆ ที่ชะลอตัวลง ได้แก่
ธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจบริการทางวิชาชีพฯ เป็นต้น ซึ่งเป็นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวม
ตัวเลข GDP กลุ่ม SMEs ยังดูดี
สำหรับมูลค่า GDP SMEs ไตรมาสที่สามของปี 2562
ขยายตัวได้ 3.1% เท่ากับไตรมาสก่อนโดยมีมูลค่า 1.81
ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 43.6% ต่อ GDP รวมทั้งประเทศ เพิ่มขึ้นจากสัดส่วน 42.6% ในไตรมาสก่อน ขณะที่เมื่อรวม 9 เดือนแรกของปี 2562 GDP SMEs ขยายตัวได้ 3.3% สูงกว่าเศรษฐกิจไทยโดยรวมที่ขยายตัว 2.5%
ปัจจัยสนับสนุนสำคัญการเติบโตของ
GDP ภาคธุรกิจ SMEs มาจากการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ
ได้แก่ การบริโภคภาคครัวเรือน การบริโภคภาครัฐบาล และการลงทุนรวม
ส่วนภาคการส่งออกและนำเข้าสินค้ายังหดตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ GDP ภาคการเกษตรและภาคบริการมีการขยายตัว
ในขณะที่ภาคการผลิตยังคงได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรมที่เน้นการผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก
ด้านการส่งออกของ SMEs ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 มีมูลค่า 1,813,917.3 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.6% และเมื่ออยู่ในรูปดอลลาร์สหรัฐจะมีมูลค่า 58,065.0 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเท่ากับ 5.9% แต่หากไม่รวมสินค้าในหมวดทองคำ (HS 7108) จะหดตัว 0.4% โดย SMEs มีสัดส่วนมูลค่าการส่งออกต่อการส่งออกรวมเท่ากับ 28.8%
แม้ว่าการส่งออกไปยังจีนและสหรัฐอเมริกาจะยังขยายตัวจากการส่งออกสินค้าทดแทนสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ระหว่างกัน
แต่ปัจจัยทางด้านการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกรวมทั้งค่าเงินบาทที่แข็งค่า
จะส่งผลให้การส่งออกในภาพรวมของ SME ปี
2562 หดตัวหรือขยายตัวได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ สำหรับสินค้าส่งออกที่ SMEs ไทยมีศักยภาพและเติบโตได้ต่อเนื่อง ได้แก่ ผลไม้สดและผลไม้แปรรูป
รวมทั้งสินค้าเกษตรแปรรูปต่างๆ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี สสว. คาดว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของ SMEs น่ายังคงทรงตัวและอาจขยายตัวเร่งขึ้นได้ เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวประกอบกับมีปัจจัยสนับสนุนจากภาครัฐ ผ่านมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงปลายปี สสว. จึงปรับประมาณการเศรษฐกิจของ SMEs ปี 2562 เท่ากับ 3.5% จากที่เคยประมาณการไว้ที่ 3.5 - 4.0% ในไตรมาสที่แล้ว