จากเป้าหมาย “ให้เกิดการจดจำ” สู่การสื่อสารที่ทำให้แบรนด์ไม่เพียงถูกเห็น แต่ “อยู่ในใจผู้บริโภคได้จริง”
ในบทความก่อนหน้า เราพูดถึงกลไกทางสมองที่ทำให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์ที่ใส่ใจ ESG ได้ดีกว่าแบรนด์ทั่วไป แต่การ “จดจำ” เพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ หากเป้าหมายคือการสร้างความเชื่อมั่นและความผูกพันในระยะยาว คำถามที่สำคัญกว่าคือ แบรนด์จะเล่าเรื่องราว ESG อย่างไรให้มันได้ผลในระดับสมองจริง ๆ
เหมือนนักโต้คลื่นที่รู้จังหวะของคลื่น ไม่พยายามฝืนกระแสน้ำ แต่ใช้แรงคลื่นให้พาไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
กล่าวโดยสรุป แบรนด์ที่ต้องการสื่อสารเรื่อง ESG ให้ทรงพลังและน่าจดจำจริง ๆ ควรเริ่มจากการเข้าใจ “คลื่น” ที่อยู่ในใจผู้บริโภค
บทความนี้ขอนำเสนอกรอบแนวคิดผ่าน 4 องค์ประกอบหลัก The Wave, The Board, The Momentum, และ Authenticity เพื่อให้การสื่อสารความยั่งยืนมีทั้งอารมณ์และความน่าเชื่อถือ
…
1. The Wave – สอดรับกับคลื่นสังคม
แบรนด์ไม่ได้ทำงานอยู่ในสุญญากาศ แต่กำลังเคลื่อนไปพร้อมกับกระแสสังคม คลื่นเหล่านี้คือค่านิยมร่วมของยุค เช่น การแก้ปัญหา climate crisis การพูดถึงความเท่าเทียม หรือความโปร่งใสในการบริหาร
ในปี 2012 Tamir และ Mitchell ทำการวิจัยโดยใช้เครื่อง fMRI (functional Magnetic Resonance Imaging – เครื่องสแกนสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถแสดงภาพการทำงานของสมองแบบเรียลไทม์) สแกนสมองอาสาสมัครในขณะที่พวกเขาตอบคำถามและเล่าเกี่ยวกับตัวเอง เทียบกับการทำงานของสมองในระหว่างที่ให้อาสาสมัครตอบคำถามและเล่าเกี่ยวกับคนอื่น (เช่น ประธานาธิบดี)
ผลปรากฏว่าเมื่อได้มีโอกาสพูดหรือเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเอง สมองส่วน ventromedial prefrontal cortex (vmPFC – ส่วนหน้าด้านในของสมอง ที่เกี่ยวข้องกับการประเมินคุณค่าทางอารมณ์และแรงจูงใจ) และ nucleus accumbens (ศูนย์กลางของระบบให้รางวัลของสมอง) ซึ่งเป็นหัวใจของ ระบบ reward system (ระบบให้รางวัลของสมองที่ทำงานเมื่อรู้สึกพึงพอใจหรือได้รับการยอมรับ) ตอบสนองอย่างแรงราวกับได้รับรางวัลจริง ๆ
งานวิจัยนี้ชี้ว่า เมื่อข้อมูลใดเชื่อมโยงกับ “ตัวตน” มันจะถูกบันทึกในสมองอย่างลึกซึ้งและน่าจดจำ เพราะมันทำงานร่วมกับระบบ reward system ดังกล่าว คือการให้รางวัลนั่นล่ะ
แบรนด์ที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และความยั่งยืน เมื่อผู้บริโภคได้รับฟังหรือมีส่วนร่วมพูดคุยกับแบรนด์ลักษณะนี้ ระบบ reward system ในสมองจึงถูกกระตุ้นเช่นเดียวกัน
ในปี 2015 Falk และคณะทำการศึกษาว่าทำไมข้อความรณรงค์ด้านสุขภาพบางอย่างถูกแชร์ต่อมากกว่าข้อความอื่น ๆ โดยทีมวิจัยให้กลุ่มอาสาสมัครดูข้อความรณรงค์เลิกบุหรี่แล้วสแกนสมองไปด้วย
ผลพบว่าการทำงานในสมองส่วน medial prefrontal cortex (mPFC – สมองส่วนหน้าด้านกลาง ที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ การใคร่ครวญ และการเชื่อมโยงกับตัวตนของเรา) สัมพันธ์กับแนวโน้มที่ว่าข้อความใดจะถูกแชร์ออกไปในวงกว้าง คือถ้าข้อความไหนกระตุ้น mPFC มาก จะพบว่ามันสัมพันธ์กับการที่ข้อความนั้นไวรัลนั่นเอง
งานวิจัยทั้งสองชิ้นนี้จึงสะท้อนให้เห็นว่า สมองของมนุษย์มีแนวโน้มตอบสนองต่อข้อมูลที่เชื่อมโยงกับ “ตัวตนและคุณค่าภายใน” ได้ดีกว่าสารทั่วไป กล่าวคือ สิ่งที่เรารู้สึกว่า “เป็นส่วนหนึ่งของเรา” มักจะถูกจดจำและอยากส่งต่อโดยอัตโนมัติ
นี่เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่ชี้ว่า เมื่อสิ่งที่สื่อสารสอดคล้องกับคุณค่าและตัวตนของผู้ฟัง สมองจะ “เลือก” ให้เรื่องนั้นแพร่กระจายต่อไปเอง ไม่เพียงเพราะ “รู้สึกพอใจ” (จากระบบ reward system) เท่านั้น แต่ยังนำไปสู่ “พฤติกรรมส่งต่อ” ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ผ่านการทำงานของ mPFC
เมื่อเข้าใจกระบวนการทำงานของสมอง เราจะเห็นว่า “หัวใจของการสื่อสาร” ยังคงเริ่มต้นจากความรู้สึกของมนุษย์เสมอ เพราะสุดท้ายแล้ว ผู้คนเชื่อมโยงกับเรื่องราวที่สะท้อนตัวตนของพวกเขาเอง
เมื่อแปลผลในบริบทธุรกิจแล้ว จะพบว่า การเล่าเรื่อง ESG ที่ได้ผล ต้องอิงกับประเด็นที่อยู่ในใจผู้บริโภคอยู่แล้ว ไม่ใช่พยายามสร้างประเด็นใหม่ขึ้นมาเอง เช่น หากสังคมกำลังตื่นตัวเรื่องการลดพลาสติก การที่แบรนด์กาแฟเล่าว่า “ทุกครั้งที่คุณใช้แก้วส่วนตัวเท่ากับลดพลาสติกได้ 1 ใบ” จะสร้างการรับรู้และเชื่อมโยงกับผู้บริโภคได้ทันที ต่างจากการบอกเพียงว่า “เราลดพลาสติกไปแล้ว 20 ตัน” ซึ่งอาจเป็นเพียงตัวเลขที่ไร้ชีวิต และดูไม่ผูกพันกับคลื่น narrative ที่อยู่ในสมองของผู้บริโภค
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือแบรนด์อย่าง Beyond Meat และ Oatly ที่หยิบ narrative เรื่อง climate crisis มาเป็นหัวใจของการเล่าเรื่อง ทำให้ผู้บริโภครุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z รู้สึกว่า “การซื้อ” คือ “การมีส่วนร่วมในสิ่งที่เชื่อ” มากกว่าแค่การเลือกสินค้า

…
2. The Board – Storydoing ก่อน Storytelling
ต่อให้คลื่นสวยและใหญ่แค่ไหน ถ้านักโต้คลื่นไม่มีบอร์ดก็ไม่สามารถยืนเหยียบคลื่นได้ เช่นเดียวกับแบรนด์ ต่อให้พูดถึง ESG ได้เก่งเพียงใด แต่ถ้าไม่มี “การทำจริง” เรื่องราวก็จะไร้น้ำหนัก
ในปี 2006 Moll และคณะทำการวิจัยแล้วพบว่า การตัดสินใจบริจาคเงิน กระตุ้นเครือข่ายสมองส่วน fronto-mesolimbic ซึ่งเป็นเส้นทางของความพึงพอใจและคุณค่าทางศีลธรรม (reward system)
ทีนี้ต่อมาในปี 2007 Harbaugh และคณะ ทำการวิจัยคล้าย ๆ กันโดยใช้ fMRI ศึกษาผู้เข้าร่วมที่บริจาคเงิน แต่แตกต่างตรงที่เพิ่มวิธีการทดลองเป็นศึกษาสองกลุ่มเลย กลุ่มที่บริจาคเงินโดยสมัครใจ กับกลุ่มที่ถูกบังคับให้บริจาคเงิน
ผลการทดลองพบว่าการให้เพื่อสังคมทั้งแบบสมัครใจและถูกบังคับ ต่างก็กระตุ้นสมองส่วน striatum และ vmPFC ซึ่งเป็นส่วนเชื่อมโยงกันของ reward system นั่นแปลว่าสมองมีการให้รางวัล “การทำจริง” มากกว่าการพูดว่าจะทำ (แม้ว่าถูกบังคับก็ตาม)
และในปีเดียวกัน Schaefer และ Rotte ตีพิมพ์บทความเสริมว่า ความรักที่ผู้บริโภคมีต่อแบรนด์ (brand love) เกิดจากการรับรู้ว่าแบรนด์นั้น “ทำสิ่งที่มีค่า” จริง ๆ ไม่ใช่เพียงโฆษณา กล่าวอีกแบบก็คือสมองจะหลั่งรางวัลก็ต่อเมื่อเรารู้ว่า คำพูดสวยหรูนั้นเบื้องหลังก็มี action ที่ทำจริงหนุนคำพูดนั้นอยู่
สำหรับแบรนด์ ความหมายคืออะไร?
มันหมายถึง ต้องมี storydoing ก่อน storytelling
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าบริษัทน้ำดื่มอยากพูดเรื่อง “รักษ์โลก” ก็ควรมีระบบรีไซเคิลขวด PET หรือโครงการคืนขวดพลาสติกที่ชัดเจน ไม่ใช่แค่โฆษณาภาพคนถือแก้วสแตนเลสสวย ๆ เพราะผู้บริโภคในวันนี้รับรู้ได้ไวมาก และถ้าไม่ทำจริง การสื่อสาร ESG จะย้อนกลับกลายเป็น greenwashing ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นแทน

…
3. The Momentum – Storytelling คือแรงส่ง
เมื่อมีคลื่นและมีบอร์ดแล้ว สิ่งที่ทำให้แบรนด์พุ่งไปข้างหน้าคือ momentum ของการเล่าเรื่อง
งานวิจัยของ Escalas (2007) พบว่าผู้เข้าร่วมที่ถูกให้ “อ้างอิงตัวเองผ่านเรื่องเล่า” (narrative self-referencing – ก็คือการเอาตัวเองไปเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวนั่นล่ะ) จะรู้สึกถูกโน้มน้าวมากกว่ากลุ่มที่ได้รับเพียงข้อมูลเชิงเหตุผล
ซึ่งสิ่งนี้สอดคล้องกับงานวิจัยในปี 2000 ของ Green และ Brock ที่เสนอ Transportation Theory ว่า เมื่อผู้ฟังถูก “พาเข้าสู่โลกของเรื่องเล่า” พวกเขาจะลดแรงต่อต้านลง และจดจำสารได้ชัดเจนกว่า พูดง่าย ๆ คือคล้อยตามง่ายขึ้น และจดจำได้มากขึ้น เมื่อถูกพาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ “เรื่องราวนั้น ๆ”
สองงานวิจัยข้างต้นที่อ้างอิงนั้นเป็นงานวิจัยด้านจิตวิทยา แต่ในด้านประสาทวิทยาก็มีหลักฐานยืนยันไปในทิศทางเดียวกัน
งานวิจัยของ Immordino-Yang และคณะ (2009) พบว่าเรื่องเล่าที่สะท้อนคุณธรรม (moral stories) กระตุ้นสมองส่วน insula (สมองส่วนที่ประมวลผลความรู้สึกทางอารมณ์ เช่น ความอบอุ่น ความเห็นอกเห็นใจ) และ mPFC ซึ่งเกี่ยวข้องกับ empathy และ self-relevance
ขณะที่ Paul J. Zak (2009) พบว่าเมื่อผู้ฟังได้ดูหรือฟังเรื่องเล่าที่กินใจ ระดับฮอร์โมน oxytocin (ฮอร์โมนแห่งความไว้วางใจและความผูกพันทางอารมณ์) จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดความรู้สึกไว้วางใจและพร้อมที่จะลงมือทำ
สำหรับแบรนด์ ความหมายคืออะไร?
มันหมายความว่าข้อมูลเชิงตัวเลขเช่น “ลด CO₂ ได้ 10,000 ตัน” อาจทำให้ผู้บริโภค “รู้” แต่เรื่องราวเช่น “เด็ก ๆ ในหมู่บ้านที่เคยหายใจติดขัด ตอนนี้วิ่งเล่นได้เพราะอากาศสะอาดขึ้น” จะทำให้ผู้บริโภค “รู้สึก” และ “จำ” ไปพร้อม ๆ กัน
เรื่องเล่าแบบที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (human-centered) จึงเปรียบเป็น momentum ที่ทำให้แบรนด์ไปได้ไกลกว่าแค่การรายงาน
แบรนด์แฟชั่นรีไซเคิลอย่าง Depop เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้ storytelling แบบ human-centered ผ่านเรื่องเล่าของ creator รุ่นใหม่บน TikTok จนกลายเป็น movement ที่คนรุ่นใหม่รู้สึกอินและอยากมีส่วนร่วม…

4. Authenticity – ความจริงใจคือทุนระยะยาว
ต่อให้เล่าเรื่องได้เก่งแค่ไหน ถ้าไม่มีความจริงใจ แบรนด์ก็จะถูกคลื่นซัดตกลงทะเล สมองของผู้บริโภคไวต่อ “สัญญาณของความไม่จริงใจ” อย่างยิ่ง
งานวิจัยในปี 2002 ของ Winston และคณะ พบว่าเมื่อผู้คนมองเห็นใบหน้าที่ดูไม่น่าไว้วางใจ สมองส่วน amygdala (สมองส่วนที่ตอบสนองต่ออารมณ์กลัวและความระแวดระวังภัย) จะตอบสนองโดยอัตโนมัติราวกับเจอภัย ซึ่งบ่งบอกว่าสมองมนุษย์พยายามอ่าน “สัญญาณของความจริงใจ” เสมอ แม้เราไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
ส่วน Delgado และคณะ (2005) ก็พบว่าชื่อเสียงด้านศีลธรรม (moral reputation) ก็สามารถปรับแต่งการทำงานของระบบ reward ได้ ตรงนี้หมายความว่า สมองจดจำความน่าเชื่อถือเป็นส่วนหนึ่งของการให้คุณค่า พูดง่าย ๆ นะ จะจดจำก็ต่อเมื่อน่าเชื่อถือ
ลองนึกถึงตัวอย่างใกล้ตัวก็ได้ บางครั้งเราเห็นคนที่มีชื่อเสียงที่รู้กันทั่วไปว่าเป็นพ่อค้ายาเสพติด แต่เขาตั้งหน้าตั้งตาทำบุญ ทำการกุศล นั่นแปลว่าทำจริง และมีการบอกเล่าเรื่องราวจริง ๆ แต่สมองของเราก็ไม่ได้ให้ค่าและจดจำสิ่งเหล่านั้น
นั่นแปลว่านอกจาก storydoing + storytelling แล้ว “ความจริงใจ” มันคือสิ่งสำคัญ เปรียบเสมือนทุนในระยะยาวของแบรนด์
งานวิจัยในปี 2008 ของ Van Bavel และคณะชี้ว่า ความสอดคล้อง (consistency) ระหว่างสิ่งที่เราพูดและสิ่งที่เราทำ รวมถึงกลุ่มอัตลักษณ์ (identity group) ที่แบรนด์เลือกจะยืนอยู่ด้วย มีผลต่อการประเมินค่าในสมองส่วน mPFC ขณะที่งานวิจัยของ Fagerstrøm และคณะ (2020) ก็พบว่า ความโปร่งใสและความจริงใจในการสื่อสาร CSR/ESG เป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความไว้วางใจระยะยาวระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า ความจริงใจและความสอดคล้องระหว่างคำพูดกับการกระทำ ไม่เพียงสร้าง trust แต่ยังเป็นทุนทางจิตใจที่ยั่งยืนสำหรับแบรนด์ในระยะยาว
สำหรับแบรนด์ ความหมายคืออะไร?
มันหมายถึงการยอมรับข้อจำกัดของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญกว่าการเคลมเกินจริง เช่น การบอกว่า “เราลดพลาสติกได้ 60% แล้ว แต่ยังเหลืออีก 40% ที่ต้องแก้” มักสร้าง trust ได้มากกว่าการบอกว่า “เราดีที่สุดในอุตสาหกรรม” เพราะผู้บริโภครุ่นใหม่ไม่ต้องการความสมบูรณ์แบบ แต่ต้องการ ความจริงใจ
…
5. Take Home Message – โต้คลื่นด้วยสมองและหัวใจ
ESG storytelling ที่มีพลัง ไม่ใช่การพูดให้ดังที่สุด แต่คือการเล่าเรื่องอย่างจริงใจ บนฐานของการลงมือทำจริง และสอดคล้องกับค่านิยมของสังคมในยุคสมัย
Framework ที่นำเสนอ “Wave – Board – Momentum – Authenticity” จึงไม่ใช่สูตรลัดทางการตลาด
แต่คือแนวคิดที่แบรนด์สามารถนำไปปรับใช้ได้จริง เพื่อให้ “เรื่องยั่งยืน” อยู่ในใจคนอย่างต่อเนื่อง
Wave: เข้าใจคลื่นความคิดและอารมณ์ของผู้บริโภค
Board: สร้างทีมและโครงสร้างที่พร้อมรับมือกับคลื่นนั้น
Momentum: สร้างแรงส่งต่อเนื่องให้เรื่อง ESG อยู่ในใจผู้บริโภค
Authenticity: สื่อสารด้วยความจริงใจ เพื่อให้เกิดความไว้วางใจอย่างแท้จริง
ในวันที่คลื่น ESG กำลังแรงที่สุด การสื่อสารที่ดีจึงไม่ใช่การพูดดังที่สุด แต่คือการพูดให้ “ตรงใจ” คนรุ่นใหม่ที่สุด เพราะสุดท้ายแล้ว การสื่อสารเรื่องความยั่งยืนที่ดีที่สุด คือการทำให้ผู้คน “รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนั้น” ร่วมกับแบรนด์
…
6. สื่อสารอย่างไรให้ “ตรงใจ Gen Z”
จากหลักการทางประสาทวิทยาที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าการจดจำเกิดขึ้นเมื่อสมองรู้สึก “มีส่วนร่วมทางอารมณ์” กับเรื่องราว สำหรับคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z กลุ่มที่เติบโตท่ามกลางข้อมูลจำนวนมากและมีสำนึกด้านคุณค่าทางสังคมสูง การสื่อสาร ESG ที่ “โดนใจ” ต้องเชื่อมต่อกับสิ่งที่พวกเขาเชื่อจริง ๆ
Wave – สอดรับกับคลื่นความเชื่อของคนรุ่นนี้
เลือกเล่าประเด็นที่ Gen Z รู้สึกมีส่วนร่วม เช่น climate action, gender equality หรือการใช้เทคโนโลยีเพื่อความเท่าเทียม เพราะพวกเขามองว่า “การบริโภคคือการแสดงตัวตน”Board – ทำจริงก่อนพูดเสมอ
Gen Z ไม่เชื่อในคำโฆษณา แต่เชื่อในหลักฐานที่จับต้องได้ แบรนด์จึงต้องสื่อสารบนสิ่งที่ทำจริง เช่น โครงการรีไซเคิล ผลลัพธ์จากการลดคาร์บอน หรือการสนับสนุนชุมชนที่ตรวจสอบได้Momentum – เล่าเรื่องบนพื้นที่ที่พวกเขาอยู่
แพลตฟอร์มอย่าง TikTok, IG หรือ YouTube Shorts คือ “สนามอารมณ์” ของคนรุ่นนี้ การเล่าเรื่อง ESG ผ่านภาพ เสียง หรือคนจริง จะสร้างความเชื่อมโยงได้ดีกว่าการรายงานผลตัวเลขเพียงอย่างเดียวAuthenticity – ความจริงใจคือทุนระยะยาว
ความโปร่งใสและการยอมรับข้อจำกัดของแบรนด์เป็นสิ่งที่ Gen Z เคารพมากกว่า “ความสมบูรณ์แบบ” พวกเขาให้น้ำหนักกับความจริงใจที่สะท้อนผ่านคำพูดและการกระทำที่สอดคล้องกัน
กล่าวโดยสรุป แบรนด์ที่ต้องการสื่อสารเรื่อง ESG ให้ตรงใจคนรุ่นใหม่นี้
ควรเล่าเรื่องด้วย ความจริงใจ การลงมือทำ และความเข้าใจต่อคลื่นทางสังคม
เพราะสำหรับ Gen Z แล้ว “ความยั่งยืน” ไม่ใช่เทรนด์ แต่คืออัตลักษณ์ของคนรุ่นนี้ และคือคลื่นที่ทุกแบรนด์ต้องเรียนรู้ที่จะโต้ให้เป็น
…
อ้างอิง
Delgado, M. R., Frank, R. H., & Phelps, E. A. (2005). Perceptions of moral character modulate the neural systems of reward during the trust game. Proceedings of the National Academy of Sciences, 102(20), 8306–8311.
Escalas, J. E. (2007). Self-referencing and persuasion: Narrative transportation versus analytical elaboration. Journal of Consumer Research, 33(4), 421–429.
Fagerstrøm, A., Pawar, S., Sigurdsson, V., & Foxall, G. (2020). The role of CSR authenticity in consumer brand trust. Journal of Business Research, 109, 517–526.
Falk, E. B., O’Donnell, M. B., & Lieberman, M. D. (2015). Self-related neural activity predicts population-level message propagation. Proceedings of the National Academy of Sciences, 112(38), 12314–12319.
Green, M. C., & Brock, T. C. (2000). The role of transportation in the persuasiveness of public narratives. Journal of Personality and Social Psychology, 79(5), 701–721.
Harbaugh, W. T., Mayr, U., & Burghart, D. R. (2007). Neural responses to taxation and voluntary giving reveal motives for charitable donations. Science, 316(5831), 1622–1625.
Immordino-Yang, M. H., McColl, A., Damasio, H., & Damasio, A. (2009). Neural correlates of admiration and compassion. Proceedings of the National Academy of Sciences, 106(19), 8021–8026.
Moll, J., Krueger, F., Zahn, R., Pardini, M., de Oliveira-Souza, R., & Grafman, J. (2006). Human fronto–mesolimbic networks guide decisions about charitable donation. Proceedings of the National Academy of Sciences, 103(42), 15623–15628.
Schaefer, M., & Rotte, M. (2007). Favorite brands as cultural objects modulate reward circuit. Journal of Marketing Research, 44(3), 475–485.
Tamir, D. I., & Mitchell, J. P. (2012). Disclosing information about the self is intrinsically rewarding. Proceedings of the National Academy of Sciences, 109(21), 8038–8043.
Van Bavel, J. J., Packer, D. J., & Cunningham, W. A. (2008). The neural substrates of in-group bias. Psychological Science, 19(11), 1131–1139.
Winston, J. S., Strange, B. A., O’Doherty, J., & Dolan, R. J. (2002). Automatic and intentional brain responses during evaluation of trustworthiness. Nature Neuroscience, 5(3), 277–283.
Zak, P. J. (2009). The neurobiology of trust and narrative. Annals of the New York Academy of Sciences, 1167(1), 182–189.

