“เดอะเธียเตอร์ ออฟ ดรีม” ธุรกิจที่จุดประกายจากแพสชัน สู่พลังขับเคลื่อนสำคัญของวงการไอซ์ฮอกกี้ไทย
ธุรกิจจำนวนไม่น้อยเริ่มจากความฝัน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเปลี่ยนแพสชันให้กลายเป็นธุรกิจที่เติบโตได้จริง โดยเฉพาะในตลาด Niche อย่างกีฬาฮอกกี้น้ำแข็ง หรือไอซ์ฮอกกี้ (Ice Hockey) ซึ่งเดิมเป็นเพียงกีฬากลุ่มเล็ก ๆ ในไทย แต่ “บริษัท เดอะเธียเตอร์ ออฟ ดรีม จำกัด” กลับสร้างธุรกิจนี้ให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงสั้น ๆ จนก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญที่มีเครือข่ายลานฮอกกี้มากที่สุดในประเทศ โดยมีสาขาพระราม 9 เป็นลานสเก็ตน้ำแข็งแบบ Stand-alone แห่งแรกของไทยที่ได้มาตรฐานสากล รองรับการฝึกซ้อมของทีมชาติ และเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันระดับนานาชาติในอนาคต

สิ่งที่ทำให้เส้นทางความสำเร็จของธุรกิจนี้โดดเด่น เป็นผลมาจากสัญชาตญาณทางธุรกิจที่เฉียบคมของ คุณจุมพล ภัทรณัฏฐ์ ญาณกรธนาพันธุ์ นักบัญชีมากประสบการณ์ และคุณพ่อของนักกีฬาฮอกกี้เยาวชน ซึ่งเริ่มต้นจากความตั้งใจที่จะสนับสนุนเส้นทางนักกีฬาของลูกอย่างจริงจัง เขามองเห็น Pain Point ของการซ้อมในลานไอซ์สเกตในแบบที่ผู้ปกครองทั่วไปอาจมองข้าม ก่อนจะนำชุดข้อมูลเหล่านั้นมาประเมินผ่านมุมมองของคนทำบัญชี วางตัวเลข วิเคราะห์ความเป็นไปได้ และวิเคราะห์โมเดลธุรกิจอย่างละเอียดว่า ธุรกิจนี้มีโอกาสเป็นไปได้จริงหรือไม่ เมื่อภาพรวมเริ่มชัดเจน คุณจุมพลจึงตัดสินใจลงทุนอย่างมีระบบ

จากรอยต่อของปัญหาในสนามไอซ์ฮอกกี้ สู่การมองเห็นโอกาสที่คนอื่นไม่เห็น
คุณจุมพลเล่าว่า ลูกชายเริ่มเล่นไอซ์ฮอกกี้อย่างจริงจังราวปี 2558 ตอนอายุเพียง 8 ขวบ โดยใช้ลานไอซ์สเกตในห้างสรรพสินค้าเป็นสถานที่ซ้อมประจำ ซึ่งมีข้อจำกัดด้านเวลาค่อนข้างมาก เพราะทีมไอซ์ฮอกกี้จะสามารถเข้าฝึกซ้อมได้เฉพาะช่วงกลางคืนที่ผู้ใช้บริการน้อย ทำให้ต้องซ้อมจนเสร็จและกลับถึงบ้านประมาณสี่ทุ่ม ก่อนจะตื่นเช้าไปโรงเรียนตามปกติ สภาพแบบนี้ดำเนินต่อเนื่องอยู่พักใหญ่ จนคุณจุมพลเริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่จังหวะเวลาที่เหมาะกับชีวิตวัยเด็กและการเรียนของลูกเท่าไรนัก
“ผมก็ไม่ชอบ กีฬาอะไรจะเล่นเฉพาะกลางคืน แล้วเด็กอายุแค่ 8 ขวบ ผมว่ามันก็ไม่ค่อยเวิร์ก” คุณจุมพลบอกอย่างตรงไปตรงมา
เมื่อคุณจุมพลเริ่มตามไปดูการแข่งขันของลูกชายอย่างใกล้ชิด เขาเริ่มเห็นบางสิ่งที่สะกิดใจ นั่นคือ ฝีมือของลูกยังไม่พัฒนาเท่าที่ควรแม้จะพยายามซ้อมตามระบบที่มีอยู่ เขาจึงพาลูกตระเวนหาโค้ชและหาแนวทางใหม่ ๆ เพื่อให้ซ้อมได้เต็มที่มากขึ้นตามความต้องการของลูก และเพียงไม่กี่เดือนถัดมา เด็กคนหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ยังพัฒนาได้ไม่เต็มศักยภาพ กลับพัฒนาขึ้นจนกลายเป็นหนึ่งในนักกีฬาระดับต้น ๆ ของรุ่นในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้คุณจุมพลเริ่มมองกีฬาฮอกกี้เป็นเรื่องจริงจังมากกว่าที่คิดไว้ตอนแรก
แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดเกิดขึ้นราวปี 2562–2563 เมื่อโควิด-19 ทำให้ห้างสรรพสินค้าต้องปิดให้บริการยาว สนามเดิมที่ลูกซ้อมอยู่ประจำไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายแบบต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) ได้ จึงปิดกิจการลง
“ลูกเราไม่มีที่ไปต่อแล้ว จะทำอย่างไรดี” คุณจุมพลคิด และคำตอบที่เขาให้กับตัวเองหลังจากนั้นคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งอย่าง “ถ้าไม่มีสถานที่ที่ดีพอ ก็สร้างขึ้นมาเอง”
วิธีคิดแบบนักบัญชีที่พาธุรกิจก้าวไปข้างหน้าได้จริง
ด้วยความรู้พื้นฐานด้านบัญชี ทำให้คุณจุมพลมีโมเดลธุรกิจอยู่ในหัวอยู่แล้ว และเมื่อสนามใหญ่ในตลาดปิดตัวลง สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาทันทีคือ “ช่องว่างทางการตลาด” ที่ยังมีอุปสงค์ (Demand) อยู่เต็มที่ ลูกค้าเก่าจำนวนมากยังเล่นต่อ และต้องหาที่ซ้อมใหม่ทันที คุณจุมพลจึงเห็นโอกาสชัดเจนว่า เขาไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ เพราะฐานลูกค้าจริงยังมีอยู่ครบ และพร้อมจะย้ายมาสนามใหม่ทันทีหากมีคุณภาพที่ดีพอ
นี่ไม่ใช่การคาดเดา แต่เป็นการคำนวณต้นทุน ผลตอบแทน และความเสี่ยงแบบนักบัญชีมาอย่างดีแล้ว แม้หลายคนจะมองว่าตลาดช่วงโควิด-19 มีความเสี่ยงสูง แต่เขากลับเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่ปลอดคู่แข่งที่สุดและต้นทุนความเสี่ยงต่ำที่สุด เพราะคุณจุมพลรู้ว่าลูกค้ากลุ่มนี้ไม่ใช่ลูกค้าขาจร แต่เป็นนักกีฬาที่จะไม่เลิกเล่นเพียงเพราะสนามปิดชั่วคราว ความผูกพันกับกีฬาทำให้อุปสงค์ของตลาดนี้แข็งแรงกว่าธุรกิจประเภทอื่น
อีกเหตุผลที่ย้ำความมั่นใจให้กับคุณจุมพล คือ ข้อจำกัดของสนามในห้าง ซึ่งทำให้ธุรกิจเติบโตได้ไม่จริง ไม่ว่าจะเป็นเวลาการใช้งานที่จำกัด หรือสิ่งอำนวยความสะดวก (Facility) ที่ไม่พอรองรับนักกีฬา เขาอธิบายชัดว่า “ใช้จัดมินิอีเวนต์ก็ยาก จัดทัวร์นาเมนต์ใหญ่แทบไม่ได้เลย” ดังนั้น โมเดลสนามแบบ Stand-alone น่าจะเป็นโครงสร้างเดียวที่ตอบโจทย์การเติบโตในระยะยาว คุณจุมพลจึงตัดสินใจสร้างสนามแบบอาคารแยกต่างหากด้านนอก ที่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับห้องนักกีฬา ระบบน้ำแข็ง และการจัดการแข่งขันเต็มรูปแบบ

การเติบโตของธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยคุณภาพมากกว่ากระแส
แม้สนามไอซ์ฮอกกี้ของเดอะเธียเตอร์ ออฟ ดรีม จะเริ่มต้นจากความตั้งใจของคนเป็นพ่อ แต่การเติบโตหลังจากเปิดสนามกลับไม่ได้เกิดจากกระแสสังคมหรือการโปรโมตเชิงการตลาด ทว่าเป็นการขยายตัวแบบ “ออร์แกนิก” กล่าวคือ โตเพราะคุณภาพของลาน ระบบการดูแล และมาตรฐานของโค้ช ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้ปกครองและเด็กที่เข้ามาใช้บริการ รู้สึกได้ถึงความแตกต่างตั้งแต่ครั้งแรก

จุดหนึ่งที่สะท้อนถึงคุณภาพ คือ การที่คุณจุมพลตัดสินใจลงทุนด้านอุปกรณ์และระบบน้ำแข็งทั้งหมดใหม่ตั้งแต่วันแรก โดยนำเข้าจากอิตาลี พร้อมจ้างวิศวกรเฉพาะทางมาดูแล เพื่อให้ลานมีคุณภาพระดับแข่งขันจริง
คุณจุมพลเล่าว่า ตั้งแต่เปิดสนามแรก นักกีฬาหน้าใหม่ก็เพิ่มขึ้นปีละกว่า 100–200 คน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สะท้อนการเติบโตของตลาดไอซ์ฮอกกี้ไทยแบบก้าวกระโดด สนามจึงเต็มแทบทุกวัน ทั้งรอบซ้อมทีม รอบไพรเวต และรอบ Walk-in จนเกิด Waiting List จำนวนมาก เป็นผลจากอุปสงค์ที่เกินกว่าอุปทาน (Supply) ในตลาด และเป็นผลลัพธ์ที่ชี้ชัดว่าสนาม Stand-alone ที่คุณจุมพลสร้างขึ้นสามารถตอบโจทย์นักกีฬาได้จริง
“ผมประเมินความน่าจะเป็นดูแล้ว ผมว่าลานเดียวมันรองรับนักกีฬาได้ไม่พอ”
ความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ เป็นเหตุผลให้บริษัทต้องขยายจาก 1 เป็น 3 สนาม ได้แก่ สาขาพระราม 9 สาขาเอกมัย และสาขาเชียงใหม่ แต่ละแห่งจะถูกบริหารภายใต้ระบบเดียวกันทั้งหมด โดยมีสาขาพระราม 9 ทำหน้าที่เป็นลานมาตรฐานหลักของประเทศ รองรับการแข่งขันระดับทีมชาติและทัวร์นาเมนต์ใหญ่ ส่วนฝั่งเอกมัยจะมีฐานลูกค้า Walk-in จำนวนมากจากโรงเรียนอินเตอร์ ในขณะที่สาขาเชียงใหม่ คุณจุมพลสร้างขึ้นเพื่อรองรับตลาดต่างจังหวัดที่ต้องการลานมาตรฐานดี ๆ โดยมีพาร์ตเนอร์ท้องถิ่นช่วยดูแล

นอกจากนี้ บริษัทยังจัดทัวร์นาเมนต์เองปีละ 3–5 ครั้ง เป็นการแข่งขันที่ดึงนักกีฬาทุกระดับมารวมตัว เช่น รูปแบบ 3x3 ที่ล่าสุดมีทีมมาสมัครมากถึง 59 ทีมในครั้งเดียว
สิ่งที่น่าสนใจคือ การเติบโตของเดอะเธียเตอร์ ออฟ ดรีม ไม่ได้มาจากการทำการตลาดเชิงรุก หรือใช้งบโปรโมชันใด ๆ เลย แต่เกิดขึ้นแบบ Organic จากการบอกต่อของผู้ปกครอง นักกีฬา ไปจนถึงดารา–นักร้องที่เข้ามาเล่นด้วยความสนใจส่วนตัว เมื่อบุคคลที่มีชื่อเสียงมาใช้บริการ แฟนคลับก็แห่ตามมาโดยอัตโนมัติ กลายเป็นพลังทางการตลาดแบบไม่ตั้งใจ และพิสูจน์ให้เห็นว่า เมื่อคุณภาพของสนามและระบบโค้ชชิงดีจริง ลูกค้าจะเป็นคนบอกต่อให้เอง ธุรกิจจึงเติบโตทั้งด้านมาตรฐาน การฝึกสอน และจำนวนนักกีฬาเยาวชนในประเทศไปพร้อมกัน
นอกจากการบริหารงานที่ยึดคุณภาพเป็นหลัก เดอะเธียเตอร์ ออฟ ดรีม ยังเป็นหนึ่งในไม่กี่ธุรกิจที่ลงทุนสร้างลานฮอกกี้ให้ได้มาตรฐานระดับ IIHF ซึ่งเป็นระดับเดียวกับลานแข่งขันสากล โครงสร้างพื้นฐานแบบนี้ช่วยรองรับการฝึกซ้อมของนักกีฬาทุกระดับ และเสริมให้การแข่งขันที่บริษัทจัดขึ้นปีละหลายครั้งเกิดขึ้นในสนามที่ได้มาตรฐานจริง การมีทั้งสนามและเวทีแข่งขันที่พร้อมเช่นนี้ ทำให้ระบบพัฒนานักกีฬาของไทยเดินไปข้างหน้าอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง

เมื่อสิ่งที่ท้าทายที่สุดคือเรื่องของ “คน”
แม้การสร้างลานฮอกกี้ให้ได้มาตรฐานจะใช้ต้นทุนและทักษะทางเทคนิคไม่น้อย แต่คุณจุมพลกลับมองว่า สิ่งที่ยากที่สุดในธุรกิจนี้ไม่ใช่การทำสนามให้ดีหรือดูแลระบบน้ำแข็งให้เสถียร แต่เป็น “การบริหารคน” ซึ่งหมายถึงทั้งโค้ช ทีมงาน ผู้ปกครอง และนักกีฬาแต่ละคนที่มีความคาดหวังแตกต่างกันอย่างมาก
ไอซ์ฮอกกี้เป็นหนึ่งในกีฬาที่แข่งขันสูง เด็กแต่ละคนมีเป้าหมายต่างกัน และผู้ปกครองเองก็ทุ่มเทเต็มที่เพื่อส่งเสริมลูกตามแนวทางที่เชื่อว่าดีที่สุด คุณจุมพลเล่าว่า ในหลายครั้ง “ความหวังและความตั้งใจดีของผู้ปกครองอาจทำให้เด็กกดดันโดยไม่รู้ตัว” จึงเป็นหน้าที่ของสนามและโค้ชที่จะช่วยให้ทุกฝ่ายเดินไปบนเส้นทางพัฒนาการที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละคน
ด้วยธรรมชาติของกีฬาที่แข่งขันสูง คุณจุมพลจึงให้ความสำคัญอย่างมากกับความเป็นกลางในการบริหาร เพราะเชื่อว่าการดูแลทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมคือสิ่งที่ช่วยรักษาสมดุลของทีม และเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาได้รับความไว้วางใจจากหลายครอบครัวมาอย่างต่อเนื่อง
อีกประเด็นสำคัญคือ การสร้างมายด์เซตแบบทีมเวิร์กให้กับเด็ก ๆ เพราะฮอกกี้เป็นกีฬาที่จะเล่นเก่งคนเดียวไม่ได้ คุณจุมพลมองว่า หากเด็กโฟกัสเฉพาะการเล่นเดี่ยวมากเกินไป อาจทำให้พลาดโอกาสพัฒนาทักษะด้านทีมเวิร์ก เขาจึงให้ความสำคัญกับการฝึกให้เด็กเล่นเป็นระบบ รู้ตำแหน่งและหน้าที่ พร้อมเข้าใจจังหวะของทีมมากกว่าการวิ่งยิงประตูเพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ คุณจุมพลยังมองว่า การพัฒนาเยาวชนด้านกีฬาไม่ใช่เพียงเรื่องของทักษะ แต่เป็นเรื่องของการปรับมุมมองร่วมกันระหว่างผู้บริหารสนาม โค้ช และผู้ปกครอง หลายครอบครัวมีความตั้งใจดีอยากเห็นความก้าวหน้าของลูกหลานเร็วที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ในมุมของผู้บริหารสนาม การเติบโตที่ยั่งยืนเกิดจากการฝึกให้เด็กรู้บทบาท เข้าใจทีม และพัฒนาทักษะอย่างเป็นระบบ มากกว่าการมุ่งเน้นความโดดเด่นเฉพาะด้านเพียงอย่างเดียว
เดอะเธียเตอร์ ออฟ ดรีมจึงไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ซ้อม แต่นักกีฬาและผู้ปกครองจำนวนมากมองว่าที่นี่คือ “สภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม” ที่มีวินัย กฎเกณฑ์ ทีมเวิร์ก และมายด์เซตที่ถูกต้องเป็นหัวใจหลัก การที่สนามแห่งนี้เติบโตได้อย่างมั่นคงก็เพราะมีหลักการบริหารคนที่ชัดเจนและสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาวงการไอซ์ฮอกกี้ไทยในระยะยาว
“ลูกถามผมตลอดว่า ป๊า…ปลายทางของฮอกกี้เราคืออะไร
ผมบอกเขาว่าให้พัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ
เดี๋ยววันหนึ่ง เขาก็จะกลายมาเป็นผมในวันนี้เอง”
ประโยคนี้อาจไม่ใช่คำตอบเรื่องฮอกกี้ที่ลูกชายของคุณจุมพลถาม แต่เป็นวิธีคิดเรื่องธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา เพราะธุรกิจไม่จำเป็นต้องมีคำตอบปลายทางตั้งแต่เริ่มต้น สิ่งที่จำเป็นกว่าคือการทำให้ “วันนี้” แข็งแรงพอ เพื่อให้ธุรกิจสามารถต่อยอดและพัฒนาตัวเองได้อย่างมั่นคงในวันข้างหน้า โดยไม่ต้องเร่งรีบหาคำตอบของปลายทางตั้งแต่เริ่มต้น
อย่างไรก็ดี สิ่งที่เดอะเธียเตอร์ ออฟ ดรีมสะท้อนชัด คือการเติบโตที่เกิดจากการพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่การเร่งขยาย หรือวิ่งตามเป้าหมายที่ยังไม่จำเป็นต้องตอบในวันนี้ เพราะความต่อเนื่องในคุณภาพ ระบบงานที่ชัดเจน และความเข้าใจตลาดที่ไม่เปลี่ยนไปตามกระแสคือปัจจัยที่ทำให้บริษัทยืนหยัดอยู่ได้ โดยไม่ต้องตั้งวิสัยทัศน์ใหญ่ ๆ ให้ไกลเกินความเป็นจริง
ท้ายที่สุดแล้ว ธุรกิจที่ยั่งยืนสำหรับ SME ไม่ได้วัดว่าเราจะไปได้ไกลแค่ไหน แต่วัดจากการวางรากฐานให้มั่นคงพอที่คนรุ่นถัดไปจะสืบต่อได้อย่างราบรื่น ดังนั้น การทำธุรกิจไม่จำเป็นต้องรู้ปลายทางตั้งแต่ต้น แต่ต้องทำให้ “วันนี้” เดินได้จริงต่างหาก และเมื่อถึงเวลา คนรุ่นต่อไปก็จะรู้เองว่าควรเดินต่ออย่างไร

