นวัตกรรมไทยที่เริ่มจาก “วิศวกรรม” สู่โซลูชันบริการครบวงจรของภาคเกษตร
เมื่อคำว่า “Agri Tech” กลายเป็นเทรนด์ใหม่ของโลกธุรกิจเกษตร หลายองค์กรยังคงมองหาเทคโนโลยีต่างชาติเพื่อมาเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน แต่สำหรับ “บริษัท เค.พี. อะโกร โคราช จำกัด” บริษัทในเครือเคพี กรุ๊ป พวกเขาเลือกเดินเส้นทางที่แตกต่างออกไป นั่นก็คือ เส้นทางของนวัตกรรมที่คนไทยสร้างเอง
กว่า 20 ปีในการทำธุรกิจ จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในชื่อ “เค.พี.เอ็กซ์เพอท เอนจิเนียริ่ง” บริษัทวิศวกรรมที่เชี่ยวชาญด้านระบบความร้อน ปัจจุบัน บริษัทได้กลายมาเป็นหนึ่งในผู้นำด้านกระบวนการอบและปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ภายใต้ชื่อ เคพีอะโกร ที่บริษัทข้ามชาติจำนวนมากให้ความไว้วางใจ

เส้นทางการเติบโต จาก Engineering สู่ Service Provider
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2545 คุณประสงค์ อิงสุวรรณ (คุณพ่อของคุณปรเมศ อิงสุวรรณ) วิศวกรผู้ก่อตั้ง บริษัท เค.พี.เอ็กซ์เพอท เอนจิเนียริ่ง จำกัด เริ่มต้นจากการขายระบบความร้อนแบบรวมศูนย์ (Centralized Boiler System) จากการไปดูงานที่ประเทศออสเตรเลีย ระบบความร้อนสำหรับเตาบ่มยาสูบ (Hot Water Boiler) ก่อนนำเทคโนโลยีเดียวกันไปประยุกต์ใช้กับโรงงานลำไยอบแห้ง และต่อยอดสู่การผลิตเครื่องจักรด้านระบบความร้อนแบบรวมศูนย์ (Centralized Boiler System)

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2549 เมื่อบริษัทคุณประสงค์ อิงสุวรรณ และคุณปรเมศ อิงสุวรรณ พบโอกาสในตลาดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด ซึ่งต้องใช้กระบวนการอบที่ควบคุมอุณหภูมิอย่างละเอียด โดยคุณปรเมศเล่าว่า
“ลูกค้าในกลุ่มเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดใช้เครื่องจักรของเราแล้วผลออกมาดี เพราะต้องอบที่อุณหภูมิไม่เกิน 42 องศา ถ้าร้อนกว่านั้นเมล็ดพันธุ์จะตาย เราจึงรู้ว่านี่คือจุดที่เทคโนโลยีของเราตอบโจทย์”
คุณปรเมศจึงตัดสินใจก้าวจากการ “ขายเครื่องจักร” มาสู่การ “ให้บริการอบเมล็ดพันธุ์” แบบครบวงจร ภายใต้ชื่อ เคพีอะโกร โดยโรงงานแรกตั้งอยู่ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ก่อนจะขยายสาขาสู่จังหวัดลพบุรี และในปี 2563 ได้เปิดโรงงานใหม่ที่จังหวัดนครราชสีมา ศูนย์กลางการผลิตเมล็ดข้าวโพดรายใหญ่ของประเทศ
“เราไม่ได้ขายเครื่องจักรอีกต่อไป แต่สร้างระบบและโรงงานให้ลูกค้าเลย โดยใช้เทคโนโลยีของเราเอง และรับประกันปริมาณการอบให้ครบตามที่เขาต้องการ คือการบริการอบเมล็ดพันธุ์ให้ลูกค้านั่นเอง (Service Provider)”
ปัจจุบัน เคพีอะโกร ดำเนินธุรกิจในรูปแบบ B2B ให้บริการรับจ้างอบเมล็ดพันธุ์ ปรับปรุงสภาพเมล็ด (Seed Conditioning) เคลือบสาร (Coating) บรรจุถุง และจัดเก็บในห้องเย็น โดยทำงานร่วมกับบริษัทข้ามชาติที่มีมาตรฐานด้านคุณภาพและสิ่งแวดล้อม เพราะถือว่าลูกค้าเป็นพันธมิตรที่ดีของเคพีอะโกร
ต้องคุมความร้อนให้นิ่ง เพื่อรักษาชีวิตของเมล็ดพันธุ์
สิ่งที่ทำให้เคพีอะโกรแตกต่าง คือ “กระบวนการอบอุณหภูมิต่ำ” ซึ่งต้องควบคุมอุณหภูมิไม่ให้เกิน 42 องศาเซลเซียสตลอดระยะเวลาการอบ ประมาณ 5 วันเต็ม เพื่อรักษาชีวิตและอัตราการงอกของเมล็ดพันธุ์ให้มากกว่า 90%
“เราต้องทำให้ผลิตผลอย่างเมล็ดพันธุ์ยังมีชีวิตอยู่ต่อได้ ไม่ให้ป่วย ไม่ให้เสียความแข็งแรง ถ้าอุณหภูมิแกว่งหรือร้อนเกินไป เมล็ดก็จะงอกได้ไม่ดี เราจึงต้องควบคุมอุณหภูมิให้นิ่ง”
นอกจากนี้ การอบข้าวโพดทั้งฝักโดยไม่กระแทกหรือเคลื่อนย้ายมากเกินไป คือเทคนิคสำคัญในการป้องกันการแตกร้าวของผิวเมล็ด และในขณะเดียวกัน เคพีอะโกรเค.พี. อะโกรยังพัฒนาระบบควบคุม SCADA (Supervisory Control and Data Acquisition) เพื่อมอนิเตอร์อุณหภูมิ ความชื้น และปริมาณลมในทุกขั้นตอนอย่างต่อเนื่อง ทำให้พารามิเตอร์ของการอบมีความเสถียรตลอดกระบวนการ
อย่างไรก็ตาม กว่า 70% ของเครื่องจักรทั้งหมดในโรงงาน ผลิตขึ้นในประเทศไทย โดยทีมวิศวกรของบริษัทในเครือ ซึ่งเป็น Know-how ที่สั่งสมมาตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของเค.พี.เอ็กซ์เพอท เอนจิเนียริ่ง และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นหนึ่งในจุดแข็งด้าน Made in Thailand ที่ทำให้บริษัทสามารถปรับแต่งระบบได้อย่างยืดหยุ่น และตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย
ให้ความสำคัญกับเรื่องพลังงานและสิ่งแวดล้อม
ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำธุรกิจ เคพีอะโกรเลือกใช้เชื้อเพลิงชีวมวล (Biomass) จากซังข้าวโพดและวัสดุเหลือทางการเกษตร และนำฝุ่นข้าวโพดมาผ่านกระบวนการอัดเป็นเพลเลต (Pellet Fuel) แทนการใช้แก๊สหรือถ่านหิน เพื่อลดการเผาในไร่ และช่วยลดฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างมีนัยสำคัญ

ในส่วนของมลภาวะทางอากาศ โรงงานได้ติดตั้งระบบ Biofilter Jet Bag Filter ในกระบวนการผลิตเพื่อกรองควันและฝุ่นก่อนปล่อยออกจากปล่อง โดยตรวจวัดปริมาณฝุ่นละออง (TSP) ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (Sox) ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) และค่าความทึบแสง (สีควันดำ) คาร์บอนมอนออกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ และซัลเฟอร์อย่างต่อเนื่องทุกปี โดยอยู่ภายใต้ทุกปี โดยอยู่ภายใต้มาตรฐานของกระทรวงอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ริเริ่มโครงการ Heat Pump และ Solar Thermal System ที่ใช้พลังงานความร้อนจากบรรยากาศและแสงอาทิตย์มาช่วยเพิ่มอุณหภูมิน้ำในบอยเลอร์ ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงและต้นทุนการผลิตในระยะยาว โดยปัจจุบันอยู่ในขั้นตอน Pilot Project และเตรียมขยายสเกลให้ครอบคลุมทั้งโรงงาน ตามพันธกิจของบริษัท “ECOGINEERING” กลุ่มวิศวกรที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

คุณปรเมศกล่าวว่า “ทุกวันนี้เราพยายามทำนำไปก่อน แม้ลูกค้ายังไม่ได้รีเควส แต่เรามองว่าเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่ต้องทำ ไม่ใช่แค่ทำตามมาตรฐาน”
ผลลัพธ์ของการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังคือ การได้รับการรับรองมาตรฐาน Carbon Footprint for Organization (CFO) รวมถึงการยกระดับสู่มาตรฐาน ISO 9001:2015 และอยู่ใน Green Industry ในปัจจุบัน
ขยายสู่บริการครบวงจร ด้วยการจัดการคุณภาพเมล็ดพันธุ์แบบ Total Solution
เคพีอะโกรไม่ได้หยุดอยู่แค่นวัตกรรมการอบลดความชื้นเท่านั้น แต่ยังขยายบริการไปสู่กระบวนการหลังการเก็บเกี่ยวแบบครบวงจร ตั้งแต่การทำความสะอาดและคัดขนาดเมล็ด (Seed Conditioning) การเคลือบสารป้องกันเชื้อราและเพิ่มอายุการเก็บรักษา (Seed Coating) ไปจนถึงการบรรจุถุงและจัดเก็บในห้องเย็นเพื่อรักษาคุณภาพก่อนส่งมอบ (Packing & Cold Storage) ทุกกระบวนการอยู่ภายใต้การควบคุมคุณภาพแบบ One Stop Service ซึ่งช่วยให้ลูกค้าที่เป็นบริษัทข้ามชาติสามารถรับสินค้าในสเปกตามสายพันธุ์ที่ลูกค้าต้องการได้ทุกล็อต สร้างความเชื่อมั่นในฐานะผู้ให้บริการหลักในซัปพลายเชนเมล็ดพันธุ์ระดับภูมิภาค
เบื้องหลังการดูแลคุณภาพอย่างละเอียดทุกขั้นตอนนี้ มีทีมของคุณปาริศา ชุติพงษ์ไพโรจน์ Brand Manager ของบริษัท ที่ช่วยดูแลกระบวนการให้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน เธออธิบายว่า
“งานของเราเป็นงานบริการทั้งหมดค่ะ ไม่มีสินค้าของตัวเอง ลูกค้าจะส่งเมล็ดพันธุ์เข้ามาให้เราอบ ปรับสภาพ เคลือบสาร จนถึงบรรจุถุงพร้อมใช้งานได้เลย ลูกค้าแต่ละรายจะมีแผนการส่งวัตถุดิบเข้ามาชัดเจน เราก็เตรียมห้องไว้รองรับให้พอดีทุกล็อต เพื่อให้บริการได้ทันและรักษาคุณภาพสม่ำเสมอ”

People & Culture อีกองค์ประกอบสำคัญที่ต้องเรียนรู้และปรับตัวให้ไว
หัวใจของความสำเร็จอีกประการหนึ่งคือ “คน” โดยทีมงานส่วนใหญ่ของเคพีอะโกรจะเป็นวิศวกรไทยที่เติบโตมาพร้อมกับองค์กร ทำให้เข้าใจทั้งกระบวนการทางเทคนิคและการบริหารงานภาคเกษตรได้อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะในช่วงฤดูพีกที่ต้องรับวัตถุดิบจำนวนมหาศาล ทีมงานจะมีการวางแผนด้านความปลอดภัย การจัดการพนักงาน และการบำรุงรักษาเครื่องจักรอย่างรัดกุม เพื่อให้การผลิตดำเนินต่อเนื่องโดยไม่เกิด Downtime
มุมมองในอนาคตต่อเทคโนโลยีเพื่อการผลิตที่ยั่งยืน และการลดแรงงานในไร่
ในระยะต่อไป เคพีอะโกรวางแผนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้สูงขึ้น รวมถึงปรับระบบให้รองรับเชื้อเพลิงชีวมวลหลายประเภท เช่น ต้นข้าวโพดหรือวัสดุทางการเกษตรอื่น ๆ ที่สามารถนำมาใช้ทดแทนได้
นอกจากนี้ บริษัทยังทำการวิจัยเครื่องจักรช่วยถอนยอดข้าวโพดร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในไร่ รวมถึงการทดลองใช้ เครื่องคัดฝักข้าวโพดด้วยระบบ AI (Image Processing) เพิ่มความแม่นยำในสายการผลิต
สุดท้าย คุณปรเมศชี้ว่า บริษัทได้มองเห็นโอกาสในด้าน Carbon Credit และ Transition Funding จากโครงการสิ่งแวดล้อมระดับนานาชาติ ซึ่งอาจเป็นแหล่งทุนใหม่ในการขยายโรงงานและยกระดับเทคโนโลยีในอนาคต
“เราอาจไม่ได้สร้างเทคโนโลยีใหม่ทั้งหมด แต่เราปรับปรุงต่อยอดจากสิ่งที่เห็น
และทำให้มันเหมาะกับงานของเรา นี่คือจังหวะที่เทคโนโลยีไทยเริ่มใช้ได้จริงในภาคเกษตร”
จะเห็นได้ว่า การเติบโตของเคพีอะโกร ไม่ได้เกิดจากการเร่งขยายกำลังการผลิต หากแต่เกิดจาก “วิธีคิดแบบวิศวกร” ที่มองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยี ประสิทธิภาพ และสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ ทุกการพัฒนาเริ่มจากโจทย์จริงของลูกค้า และต่อยอดสู่การสร้างคุณค่าในระดับอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ สิ่งที่เค.พี. อะโกรแสดงให้เห็นชัด คือพลังของ SME ไทยที่ไม่ได้รอเทคโนโลยีจากต่างประเทศ หากสร้างทางเดินของตนเองด้วยความรู้และประสบการณ์ในพื้นที่จริง เมื่อ “ความเข้าใจทางวิศวกรรม” ทำงานร่วมกับ “ความเข้าใจในทางธุรกิจความต้องการทางการเกษตร” ได้อย่างสมดุล นวัตกรรมก็จะไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่กลายเป็นวิถีการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

