เปิดเส้นทาง “ไร่เชษฐ์เจริญชัย” สู่ Smart & Sustainable Farming โดยผู้บริหารรุ่นใหม่ที่สร้างคุณค่าจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ
ความเปลี่ยนแปลงและวิกฤตสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ภัยแล้ง ไปจนถึงกฎระเบียบใหม่ ๆ จากตลาดโลกที่กดดันให้เกษตรกรไทยต้องยกระดับมาตรฐานการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกวิกฤตล้วนซ่อนโอกาสเอาไว้เสมอ
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้ มีเกษตรกรหนุ่มเลือดใหม่ไฟแรงคนหนึ่ง ที่ไม่ได้มองว่าการปรับตัวเป็นเพียงทางเลือก แต่คือเส้นทางเดียวที่จะนำพาธุรกิจครอบครัวและชุมชนให้ก้าวต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน “คุณชวนากร ธรามานิตย์” ทายาทรุ่นที่ 4 แห่งไร่เชษฐ์เจริญชัย จังหวัดกำแพงเพชร ผู้รับช่วงต่อธุรกิจไร่อ้อยมาจากคุณเชษฐา ธรามานิตย์ ผู้เป็นบิดา กำลังขับเคลื่อนไร่แห่งนี้ให้กลายเป็นไร่อ้อยอัจฉริยะต้นแบบ ที่ผสมผสานภูมิปัญญาชาวบ้านเข้ากับเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว
วันนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับการเดินทางของไร่เชษฐ์เจริญชัยที่กล้าฉีกกฎเก่า ๆ พลิกฟื้นธุรกิจครอบครัว และสร้างแรงบันดาลใจแก่ Young Smart Farmer ทั่วประเทศ ว่าเกษตรกรรมไทยไม่ได้เป็นอาชีพที่ต้องยอมจำนนต่อธรรมชาติอีกต่อไป หากแต่สามารถลุกขึ้นมาบริหารจัดการ และเติบโตไปพร้อมกับการพัฒนาโลกอย่างยั่งยืน
ธุรกิจครอบครัว 4 รุ่น กับการเปลี่ยนผ่านสู่เกษตรอัจฉริยะ
หากจะพูดถึงจุดเริ่มต้นของไร่เชษฐ์เจริญชัย ก็ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่รุ่น 1 “รุ่นเหล่ากง” ของคุณชวนากร ที่เริ่มจากการทำไร่ด้วยแรงงานคนเป็นหลัก ธุรกิจถูกส่งต่อมายังรุ่นที่ 2 และพัฒนาต่อเนื่องจนถึงรุ่นที่ 3 ที่เริ่มนำเครื่องจักรกลขนาดใหญ่เข้ามาใช้เพื่อลดภาระแรงงาน และในรุ่นที่ 4 ปัจจุบัน คุณชวนากรได้สานต่อธุรกิจ พร้อมพัฒนาในเรื่องการบริหารจัดการต้นทุนและทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุด
“พอเรามีเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ ก็รู้สึกว่าอันนี้น่าจะใหญ่ที่สุดเท่าที่จะมีได้แล้ว ทีนี้ก็ถึงเวลาที่เราต้องหันมาโฟกัสว่า เราจะทำอย่างไรให้ผลผลิตมันได้มากขึ้น ใช้ต้นทุนและแรงงานคนที่น้อยลง”
ด้วยแนวคิดดังกล่าว ประกอบกับความเป็นคนรุ่นใหม่ คุณชวนากรจึงเริ่มนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาปรับใช้ในไร่ ทั้งโดรนเกษตร ระบบน้ำหยด นวัตกรรม IoT และพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
Young Smart Farmer กับแนวคิดเกษตรแม่นยำเพื่อลดความเสี่ยง
เมื่อเผชิญกับภัยแล้ง แมลงศัตรูพืช และต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้น Young Smart Farmer อย่างคุณชวนากรเลือกที่จะเดินหน้าด้วยแนวคิด “เกษตรแม่นยำ” (Precision Agriculture) เน้นใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีช่วยตัดสินใจในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การให้น้ำ การดูแลพืชผล ไปจนถึงการวางแผนจัดการต้นทุน โดยการดำเนินงานที่เป็นจุดเด่นของไร่เชษฐ์เจริญชัย คือ การใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) เข้าควบคุมระบบน้ำหยด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการน้ำในแปลงเกษตร ช่วยให้สามารถกระจายน้ำในปริมาณเหมาะสมตามความต้องการของพืชแต่ละช่วง ลดการสูญเสียน้ำ ใช้แรงงานน้อยลง และช่วยลดต้นทุนการผลิตอย่างเห็นผล
นอกจากนี้ คุณชวนากรยังเสริมกำลังการผลิตด้วยโดรนทางการเกษตร สำหรับฉีดพ่นฮอร์โมนพืชและสารชีวภาพ ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโต และลดการใช้ปุ๋ยเคมี ซึ่งสอดรับกับแนวทางเกษตรยุคใหม่ที่ทั้งปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงปรับเปลี่ยนไร่เข้าสู่ระบบอัจฉริยะ คุณชวนากรไม่ได้เลือกลงทุนระบบใดระบบหนึ่งทันที แต่ใช้วิธีทดลองเปรียบเทียบระบบเทคโนโลยีเกษตรแบบผสมผสานถึง 3 แบบ ได้แก่
น้ำหยด + แรงงานคน วิธีดั้งเดิมที่แม้ต้นทุนแรงงานจะสูง แต่เหมาะกับพื้นที่ขนาดเล็ก หรือช่วงเวลาที่ระบบอัตโนมัติยังไม่พร้อมใช้งานเต็มประสิทธิภาพ
โซลาร์เซลล์แบบ 1 ตัว/30 ไร่ ใช้งานตอนกลางวัน ระบบพลังงานสะอาดที่ช่วยลดค่าไฟฟ้าได้มากในระยะยาว แต่มีต้นทุนเริ่มต้นในการติดตั้งสูง และต้องใช้เวลาคืนทุน
ระบบ IoT ที่ควบคุมผ่านสมาร์ตโฟน พร้อมหม้อแปลง TOU สำหรับใช้งานตอนกลางคืน ระบบอัจฉริยะที่สามารถควบคุมการให้น้ำได้แม่นยำตามปริมาณและช่วงเวลาที่เหมาะสม ช่วยลดการสูญเสียน้ำ และสามารถเลือกช่วงเวลาเปิดปิดระบบตามอัตราค่าไฟฟ้าที่ถูกที่สุด
สิ่งสำคัญไม่ใช่การเลือกเพียงระบบเดียว แต่คือการเปรียบเทียบและจัดวางระบบที่เหมาะสมกับบริบทของไร่และสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งผลจากการทดลองนี้ ทำให้คุณชวนากรเห็นได้อย่างชัดเจนว่า แต่ละระบบมีจุดแข็งและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน การผสมผสานระบบให้เหมาะกับช่วงเวลา สภาพพื้นที่ และความพร้อมของงบประมาณ จึงเป็นกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์ที่สุดในแง่ของการควบคุมต้นทุน เพิ่มผลผลิต และรักษาความยั่งยืนของระบบนิเวศ
พลิกโฉมไร่อ้อย สู่ “เกษตรเชิงนิเวศอย่างยั่งยืน”
ในอดีต การทำไร่อ้อยของไทยมักใช้วิธีการเผาก่อนเก็บเกี่ยวเพื่อลดต้นทุนแรงงานและเพิ่มความสะดวกในการตัดอ้อย วิธีนี้แม้จะช่วยลดภาระในระยะสั้น แต่กลับทิ้งผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมไว้มากมาย ทั้งการปล่อยควันพิษ ฝุ่น PM 2.5 และทำลายความสมดุลของระบบนิเวศดินและแหล่งน้ำ
ด้วยเหตุนี้ ไร่เชษฐ์เจริญชัยจึงตัดสินใจพลิกแนวคิดครั้งสำคัญ โดยเปลี่ยนจากวิธีการเผา ไปสู่แนวทาง “เกษตรเชิงนิเวศอย่างยั่งยืน” ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล Bonsucro (บองซูโคร) ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตอ้อยที่มุ่งเน้นความยั่งยืน ครอบคลุมตั้งแต่การอนุรักษ์ดิน น้ำ และความหลากหลายทางชีวภาพ ไปจนถึงการดูแลสวัสดิภาพแรงงานและลดผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ
นอกจากนี้ ไร่เชษฐ์เจริญชัยยังต่อยอดแนวคิดตามโมเดล BCG (Bio-Circular-Green Economy) ด้วยการลดการใช้ทรัพยากรใหม่ และเพิ่มมูลค่าสิ่งเหลือใช้ในไร่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
รวมถึงระบบการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ในไร่เชษฐ์เจริญชัย ยังถูกออกแบบให้เป็น Zero Waste Model โดยไม่มีของเสียถูกทิ้งเปล่า ทุกอย่างถูกนำกลับมาใช้หมุนเวียนอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การทำปุ๋ยหมัก การนำใบอ้อยคลุมโคนอ้อยเพื่อรักษาความชื้น รวมถึงการจัดการกับสายน้ำหยด ที่ถือเป็นวัสดุเหลือใช้ที่หลายไร่มักตัดทิ้งพร้อมกับการเก็บเกี่ยวอ้อย แต่คุณชวนากรเลือกที่จะม้วนเก็บสายเหล่านี้อย่างเป็นระบบ เพื่อไม่ให้กลายเป็นขยะในแปลง โดยบางส่วนสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ และบางส่วนที่ไม่สามารถใช้ต่อได้ ยังสามารถชั่งขายเพื่อนำไปรีไซเคิลเป็นกระถางต้นไม้สีดำได้อีกด้วย
ปั้นไร่ให้เป็นธุรกิจครบวงจร สร้างรายได้หลายทางอย่างยั่งยืน
“ไร่อ้อยคืออาชีพหลักของเรา แล้วเราก็มีอาชีพรองด้วย” คุณชวนากรเล่าถึงการขยายแนวทางการดำเนินงานของไร่เชษฐ์เจริญชัยไปสู่การเป็นธุรกิจเกษตรแบบครบวงจร โดยพัฒนารูปแบบการทำไร่ให้กลายเป็นแหล่งสร้างรายได้จากหลากหลายช่องทาง ทั้งในด้านการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เพื่อเพิ่มมูลค่า ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้ทางเดียว และส่งเสริมความยั่งยืนในระดับครัวเรือนและชุมชน
ในด้านการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ไร่เชษฐ์เจริญชัยได้เปิดพื้นที่ไร่ให้เป็นศูนย์เรียนรู้และแหล่งทัศนศึกษา ให้ผู้มาเยือนสามารถเรียนรู้และสัมผัสประสบการณ์จริงเกี่ยวกับการทำไร่อ้อยสมัยใหม่ นอกจากด้านการท่องเที่ยวแล้ว ไร่เชษฐ์เจริญชัยยังให้ความสำคัญกับการแปรรูปผลผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่า กล้วยน้ำว้า ซึ่งเป็นพืชร่วมปลูกในไร่อ้อย ได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกล้วยตาก กล้วยฉาบ เพื่อสร้างรายได้เสริมจากวัตถุดิบในไร่
“เราต้องนำความรู้ใหม่มาผสานกับประสบการณ์ เพื่อปรับตัวให้ทันกับความเสี่ยง
เพราะในวันนี้ เราไม่สามารถรอให้ปัญหาเกิดขึ้นแล้วค่อยแก้ได้
แต่เราต้องเป็นฝ่ายกำหนดทางเดิน และวางแผนรับมือด้วยตัวเอง”
แนวคิดของคุณชวนากรสะท้อนถึงการมองภาพรวมของระบบธุรกิจอย่างลึกซึ้ง นั่นคือ การต่อยอดออกแบบห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) เพิ่มคุณค่าตั้งแต่ต้นน้ำในแปลงเกษตร ไปจนถึงปลายน้ำที่เชื่อมโยงกับตลาด โดยใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า และลดการสูญเสียในทุกขั้นตอนผ่านหลักคิดของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ไม่ว่าจะเป็นการนำเศษวัสดุเหลือทิ้งกลับมาใช้ใหม่ หรือการสร้างผลิตภัณฑ์แปรรูปที่เพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบเดิม ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแนวทางที่ช่วยเสริมความมั่นคงให้กับธุรกิจครอบครัว โดยไม่ทิ้งรากฐานเดิมของชุมชน ในทางกลับกัน ยังช่วยยกระดับเศรษฐกิจภาคการเกษตรให้แข็งแรงขึ้นในระยะยาว