“ไทย สเตอเจียน ฟาร์ม” ผู้บุกเบิกคาเวียร์สัญชาติไทย เจ้าแรกในเอเชีย
ในวันที่เศรษฐกิจชะลอตัวและธุรกิจก่อสร้างบนเกาะสมุยไม่เติบโตเหมือนเดิม คุณนพดล คำใส และ คุณอเล็กซี่ ธุนทิน มองเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องเริ่มต้นสิ่งใหม่ จากที่เคยทำอสังหาริมทรัพย์ ทั้งคู่ตัดสินใจเดินเข้าสู่เส้นทางที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นก็คือ การเลี้ยง “ปลาสเตอร์เจียน” เพื่อผลิตคาเวียร์ วัตถุดิบระดับพรีเมียมจากยุโรป ที่ในอดีตแทบไม่มีใครเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ในเมืองไทย
และนี่คือจุดเริ่มต้นของ “บริษัท ไทย สเตอเจียน ฟาร์ม จำกัด” ฟาร์มคาเวียร์ระบบปิดแห่งแรกของประเทศไทย ที่กล้าท้าทายข้อจำกัดด้านภูมิอากาศด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์และความพยายามมากว่าทศวรรษเพื่อสร้างแบรนด์คาเวียร์สัญชาติไทย

กว่าจะมาเป็น “ฟาร์มคาเวียร์เมืองร้อน”
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2555 คุณนพดลและคุณอเล็กซีเริ่มมองหาที่ดินและวางแผนสร้างฟาร์มปลาสเตอร์เจียนในเมืองไทย โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าต้องสร้างฟาร์มระบบปิดที่ควบคุมอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้เหมาะกับภูมิอากาศร้อนชื้นของประเทศ ซึ่งแตกต่างจากถิ่นกำเนิดของปลาชนิดนี้โดยสิ้นเชิง
คุณนพดลเล่าย้อนว่า “ปลาสเตอร์เจียนต้องอยู่ในที่ที่อุณหภูมิเย็น แต่บ้านเราร้อน เราก็ต้องดัดแปลงเทคโนโลยีใหม่หมด เพราะระบบฟาร์มของยุโรปไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้ในเมืองร้อนแบบเรา”
โชคดีที่คุณอเล็กซี ซึ่งเป็นชาวรัสเซีย มีพื้นฐานด้านเทคโนโลยีการเลี้ยงปลาสเตอร์เจียนและเข้าใจระบบฟาร์มในต่างประเทศเป็นอย่างดี เขาจึงตั้งเป้าที่จะนำองค์ความรู้นั้นมาพัฒนาเทคโนโลยีฟาร์มที่เหมาะกับภูมิอากาศเมืองร้อนอย่างประเทศไทย เพื่อพิสูจน์ว่าของดีระดับโลกสามารถเกิดขึ้นได้บนผืนแผ่นดินนี้
ทีมงานใช้เวลาหลายปีในการพัฒนาระบบฟาร์มให้เหมาะกับอากาศร้อนของไทย ตั้งแต่ระบบน้ำหมุนเวียนไปจนถึงการควบคุมอุณหภูมิอย่างละเอียด ก่อนจะเริ่มก่อสร้างฟาร์มจริงในปี 2558 จนแล้วเสร็จในปี 2559

เบื้องหลังความสำเร็จของคาเวียร์ไทย จากไทย สเตอเจียน ฟาร์ม
หลังจากฟาร์มพร้อมใช้งาน ลูกปลาสเตอร์เจียนรุ่นแรกกว่า 10,000 ตัวได้ถูกนำเข้ามาเลี้ยงในระบบปิดอย่างเต็มรูปแบบ นับเป็นก้าวแรกของการพิสูจน์ว่าคาร์เวียร์เมืองร้อนสามารถเกิดขึ้นได้จริงในประเทศไทย
“ช่วงนั้นระบบยังใหม่กับเมืองไทยมาก ต้องยื่นเรื่องกับกรมประมงส่วนกลางที่กรุงเทพฯ พวกเราต้องเดินทางจากหัวหินขึ้นไปกรุงเทพฯ แทบทุกอาทิตย์เพื่อทำตามขั้นตอนให้ถูกต้อง… ทุกอย่างคือการเริ่มต้นจากศูนย์”
ปลาที่เลี้ยงในระบบนี้จะใช้เวลาเพียงประมาณ 6 ปีในการให้ผลผลิตรุ่นแรก ซึ่งเร็วกว่าในธรรมชาติที่ต้องใช้เวลา 8-10 ปี เนื่องจากฟาร์มสามารถควบคุมวัฏจักรชีวิตของปลาได้อย่างแม่นยำ ตั้งแต่รอบการกิน การพัก ไปจนถึงการปรับอุณหภูมิที่เหมาะสมในแต่ละระยะของการเติบโต เพื่อให้ปลามีพฤติกรรมและระบบร่างกายใกล้เคียงกับการอยู่ในแหล่งน้ำเย็นตามธรรมชาติที่สุด
นอกจากระบบควบคุมอุณหภูมิแล้ว ฟาร์มยังใช้เทคโนโลยีไมโครชิป (Microchip Tagging) เพื่อแยกเพศปลาและติดตามข้อมูลรายตัว โดยคุณนพดลอธิบายว่า
“ตอนนำลูกปลามาใหม่ ๆ เราไม่รู้เลยว่าตัวไหนเพศผู้หรือเพศเมีย ต้องเลี้ยงให้ถึงอายุประมาณสองปีแล้วทำอัลตราซาวนด์ทีละตัว พอรู้ว่าเป็นตัวเมียก็ฝังไมโครชิปไว้ ทีนี้เราก็รู้แล้วว่าตัวไหนเคยรีดไข่ไปกี่รอบ”

และสิ่งที่ทำให้ฟาร์มแห่งนี้แตกต่างจากผู้ผลิตคาเวียร์ส่วนใหญ่ในโลก คือ เทคนิคการรีดไข่โดยไม่ต้องฆ่าปลา ซึ่งเป็นองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญชาวรัสเซียที่ฟาร์มเชิญมาฝึกให้กับทีมงานไทยโดยตรงในปีแรก ๆ ของการผลิต ขั้นตอนนี้ถือเป็นความก้าวหน้าทางเทคนิคที่ช่วยให้ฟาร์มสามารถเก็บไข่จากปลาตัวเดิมได้หลายรอบ โดยไม่ต้องสูญเสียชีวิตของปลา ช่วยลดการทำร้ายสัตว์จากกระบวนการผลิตแบบดั้งเดิม และสร้างทั้งความยั่งยืน ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และความคุ้มค่าทางธุรกิจไปพร้อมกัน”

เบื้องหลังของความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากความเข้าใจในธรรมชาติและความอดทนของทีมงานที่พร้อมเผชิญความยากทุกขั้นตอน ตั้งแต่การดูแลคุณภาพน้ำ การจัดหาอาหารปลาจากเยอรมนีและเดนมาร์กที่มีคุณค่าทางโปรตีนสูง ไปจนถึงการควบคุมการขนส่งและเก็บรักษาอย่างเข้มงวด เพื่อรักษาชีวิตของปลาทุกตัวในระบบให้สมบูรณ์ที่สุด
จากเกษตรนวัตกรรมสู่แบรนด์ระดับโลก
หลังจากใช้เวลานานกว่าครึ่งทศวรรษในการพัฒนาระบบฟาร์มและเทคโนโลยีการเลี้ยงปลา ไทย สเตอเจียน ฟาร์มก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตคาเวียร์ชุดแรกจากปลาที่เลี้ยงในระบบปิดของฟาร์มออกสู่ตลาดได้สำเร็จ สะท้อนความภาคภูมิใจในฐานะที่เป็นคาเวียร์สัญชาติไทยแบรนด์แรก และเป็นรายเดียวในเอเชียที่ทำฟาร์มระบบปิดในระดับไซส์นี้

ปัจจุบัน ไทย สเตอเจียน ฟาร์ม มีกำลังการผลิตราว 700 กิโลกรัมต่อปี จากปลากว่า 1,100 ตัวในระบบปิด ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงสุดของฟาร์มในภูมิภาค และยังคงขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือ ทีมงานทั้งหมดเป็นคนไทย ที่ผ่านการฝึกฝนจากประสบการณ์จริงในฟาร์ม
“ตอนนี้พนักงานไทยรีดไข่ได้หมดแล้ว เด็กหลายคนจบการเกษตรมาโดยตรง เรารับเข้ามาฝึกเองตั้งแต่เริ่ม เห็นเลยว่าคนไทยทำได้ ถ้าได้โอกาสเรียนรู้” คุณนพดลกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
ยิ่งไปกว่านั้น ไทย สเตอเจียน ฟาร์ม ยังได้รับการยอมรับในระดับโลกจากความมุ่งมั่นด้านสิ่งแวดล้อมและมาตรฐานการผลิต โดยในปี 2559 ฟาร์มได้รับรางวัล Global ECO Brand Award จากสมาคม International Association of Ecology and Entrepreneurs ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในด้านระบบฟาร์มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงาน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

และในปี 2562 ฟาร์มได้รับรางวัลเดียวกันอีกครั้ง ในด้านคุณภาพของปลาสเตอร์เจียน หลังจากส่งตัวอย่างปลาจากฟาร์มไปตรวจคุณภาพและชิมรสชาติในประเทศรัสเซีย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตลาดที่มีมาตรฐานเข้มงวดที่สุดของโลก
“ตอนนี้ระบบของเราทำงานได้ถึงจุดพีคแล้วครับ
และปีหน้าพวกเราก็หวังว่าไปถึงระดับที่สูงที่สุด”
สิ่งที่ทำให้ไทย สเตอเจียน ฟาร์มประสบความสำเร็จ ไม่ใช่การลงทุนจำนวนมากเพียงอย่างเดียว แต่คือทักษะในการต่อยอดองค์ความรู้ให้เป็นระบบที่ควบคุมได้ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ SME ยุคใหม่ พวกเขาพัฒนาทุกขั้นตอนด้วยข้อมูลจริง ทดลองจริง และวัดผลจริง
นอกจากนี้ อีกหนึ่งบทเรียนที่ SME ไทยควรรู้ คือ การสร้างความสามารถของคนในองค์กรคือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เพราะเมื่อทีมงานคนไทยได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้จนสามารถทำงานเชิงเทคนิคสูงได้เองทุกขั้นตอน ฟาร์มก็สามารถบริหารงานได้อย่างต่อเนื่อง ลดการพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศในระยะยาว พร้อมเสริมความมั่นคงให้ธุรกิจเติบโตไปได้อย่างยั่งยืน
เมื่อ SME กล้าลงทุนในความรู้ กล้าทดลอง และกล้าพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์ที่ได้คือศักยภาพการเติบโตที่แตะระดับสูงสุดได้จริง เหมือนเช่นที่ไทย สเตอเจียน ฟาร์มมาถึงวันนี้ และกำลังพร้อมก้าวไปสู่จุดสูงสุดของฟาร์มในปีถัดไปอย่างมั่นใจ

