ปัจจุบันเราอยู่ในยุคดิจิทัลที่รับรู้ข่าวสารจากโซเชียลมีเดียถือเป็นเรื่องปกติในชีวิตประวัน
และโดยในเฉพาะช่วงที่ต้อง Work From Home ยิ่งมีโอกาสรับรู้ข่าวสารจากโลกโซเชียลฯ
มากขึ้น ดังนั้นประเด็นการดูแลสุขภาพจิตใจจึงเป็นสิ่งสำคัญเพราะผู้คนเสพสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมหาศาลในแต่ละวัน
สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ได้เผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย (Thailand Internet User Behavior) ในปี 2563 พบว่า คนไทยมีสถิติการใช้งานอินเทอร์เน็ตในปี 2563 เฉลี่ยวันละ 11 ชั่วโมง 25 นาที (เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ถึง 1 ชั่วโมง 3 นาที) โดยมีคนไทยมากถึง 95.3 % (จาก 91.2% ในปี 2562) ที่ใช้งานเพื่อการเล่นสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media)
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ผลเสียของการติด ‘โซเชียลมีเดีย’
เว็บไซต์ Business Insider ได้เผยข้อเสียของการใช้งานสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์
และแท็บเล็ตเอาไว้หลายข้อที่เกิดขึ้นต่อร่างกาย เช่น
การปล่อยแสงสีฟ้าและการดึงดูดให้ใช้งาน จนทำให้นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
การขาดการปฏิสัมพันธ์กับคนใกล้ตัวที่เกิดจากการติดสมาร์ทโฟน
การแจ้งเตือนของข้อความที่ทำให้ต้องตื่นตัวในการสื่อสารตลอด
และการใช้งานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานทำให้เกิดอาการปวดเมื่อย ที่สามารถพัฒนาไปเป็นอาการปวดกล้ามเนื้อจากอาการอักเสบและเยื่อพังผืด
(Office Syndrome) อาการปวดตาแสบตาจากการจ้องแสงนานเกินไป
หรือมีอาการนิ้วล็อกด้วย
นอกจากนี้การใช้งานอินเทอร์เน็ตเพื่อการใช้งานโซเชียลมีเดีย
ยังทำให้เกิดอาการทางใจด้วย เช่น เมื่อว่างเราจะหยิบมือถือขึ้นมาดู
การวัดคุณค่าตนเองด้วยความนิยมบนสื่อออนไลน์ อาการกลัวที่จะไม่ได้รับรู้เรื่องราวหรือพลาดข่าวสาร
(Fear
Of Missing Out หรือ FOMO)
และการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นตลอดเวลา ทำให้มีคนไทยไม่น้อยที่ร่างกายสะสมความอ่อนล้า-ความเครียดโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว
ทำไม? เราจึงเสพติดโซเชียล?
ปัจจุบันมีการวิจัยสาเหตุของการเสพติดโซเชียลมีเดียเอาไว้
น่าจะเกิดจากสารเคมีในประสาทที่ชื่อว่า โดพามีน (Dopamine) ทำหน้าที่บอกสมองว่าพฤติกรรมที่ทำอยู่ควรทำซ้ำเพราะเป็นผลดี เช่น
การกินเพราะจะทำให้เรามีสารอาหาร แต่เมื่อใช้โซเชียลมีเดียและเจอกับข้อมูลใหม่หรือสิ่งที่น่าสนใจ
สารโดพามีนนี้ก็หลั่งออกมาทำให้เราเกิดความรู้สึกดีเวลาใช้งานด้วย นั่นยิ่งทำให้รู้สึกอยากใช้งานต่อ
เวลาว่างก็เผลอหยิบมือถือขึ้นมาดู หรือรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้ยอดไลก์ (Like) เพิ่ม แต่การเสพติดนี้ก็ทำให้เกิดความรู้สึกแย่ได้เช่นกัน จากการได้ยอดไลก์ไม่เท่ากับที่คาดหวัง
การที่โพสต์ไม่ได้รับความสนใจ
ไปจนถึงการเห็นคนอื่นดูมีชีวิตที่ดีกว่าหรือประสบความสำเร็จมากกว่า
5 วิธี Social Detox พักจากโลกออนไลน์
แนวคิดการทำโซเชียลดีท็อกซ์ (Social
Detox) มีที่มาจากการทำดีท็อกซ์ (Detox)
ที่เป็นการเอาสารพิษออกจากร่างกาย แต่วิธีนี้คือ การชำระเอาสารพิษที่เกิดจากสื่อสังคมออนไลน์
หรือการใช้งานอุปกรณ์สื่อสารมากเกินไปออกจากร่างกายและจิตใจ
1. จัดเวลาที่จะไม่ยุ่งกับมือถือ
เพื่อให้ไม่เสียงานเสียการ
ลองแบ่งเวลาการทำงานกับการพักผ่อนออกจากกัน โดยเปลี่ยนการพักผ่อนด้วยการเลื่อนดูโซเชียลมีเดียไปทำอย่างอื่นแทน
ส่วนใหญ่จะแนะนำให้ทำก่อนนอนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
เพื่อลดการรับแสงสีฟ้าที่ทำให้ร่างกายตื่นตัว
2. ปิดการแจ้งเตือน (Notification)
หากในแบบแรกยังดูยากไปเพราะยังกังวลว่าจะมีเรื่องสำคัญเข้ามาไหม
อาจลองเข้าไปปิดการแจ้งเตือนรายแอปพลิเคชัน เพื่อให้แอปฯ ที่เป็นประโยชน์ยังแจ้งเตือนเราอยู่
เช่น แอปฯ เกี่ยวกับการเงินหรือปฏิทินนัดหมาย
3.
กำหนดหรือจำกัดเวลาการใช้งานแอปพลิเคชัน
วิธีนี้เป็นวิธีตรงกันข้ามกับวิธีแรกที่กำหนดเวลาที่จะไม่ใช้งาน
ไปเป็นการจำกัดชั่วโมงในการใช้งานโซเชียลมีเดียแทน
เพื่อไม่ให้เวลาของเราถูกดึงไปใช้กับการเลื่อนลง (Scroll Down) ไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จบ
4. ลบแอปพลิเคชันออกจากเครื่อง
การเลือกลบแอปพลิเคชันออก เป็นวิธีการหักดิบเพื่อสร้างนิสัยใหม่ในการใช้งานเลย
ในช่วงแรกอาจจะเผลอหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อดูการแจ้งเตือน แต่จะไม่เจอแอปฯ โซเชียลมีเดีย
ทำให้เมื่อเราทำบ่อยๆ ก็จะคุ้นเคยกับการไม่หยิบมือถือมาเปิดดูเมื่อว่าง
และได้เอาสมองไปคิดเรื่องอื่นมากกว่าการรอดูสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์
5. วางโทรศัพท์ไว้ไกลๆ มือ หรือปิดเครื่องในเวลานอน
เพื่อไม่ให้เห็นมือถืออยู่ในสายตาจนต้องหยิบขึ้นมา
นอกจากนี้ยังเป็นการบังคับกลายๆ ให้เราไม่ใช้งานในช่วงเวลานั้นๆ
‘โซเชียลมีเดีย’ มีทั้งประโยชน์และโทษ หากรู้จักใช้อย่างพอดีและไม่ยึดเอาสิ่งที่พบเจอในโซเชียลมาใส่ใจจนเกินไป
ก็จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาหรืออันตราย แต่ถ้าเมื่อใดที่เราเริ่มให้ความสำคัญกับโซเชียลมีเดียเป็นอันดับแรกๆ
ก็อาจจะถึงเวลาที่ต้อง ‘Social Detox’ พัก หยุด
จำกัดข่าวสารต่างๆ แล้วเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับโลกความเป็นจริงรอบตัวบ้าง
แหล่งอ้างอิง :
สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA)