วิกฤตโควิด 19 คราวนี้เกิดขึ้นเร็ว และแรงแถมยังไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่
ส่งผลกระทบธุรกิจน้อยใหญ่ได้รับผลกระทบอย่างหนักถึงหนักมาก ทำให้องค์กรต่างๆ
จึงได้นำแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่คำนึงถึงประเด็นด้านสังคมสิ่งแวดล้อม และบรรษัทภิบาล
เข้ามาบูรณาการเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
หรือเรียกว่า การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน หรือ
Sustainable Supply Chain (SSC)
เพื่อช่วยเพิ่มโอกาส SME และเป็นการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจอีกด้วย
ในการบริหารจัดการ ‘ห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน’ คือการจัดการผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
สังคม และเศรษฐกิจ รวมทั้งการส่งเสริมให้มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี
ตลอดวัฏจักรชีวิตของสินค้าและบริการ ที่สามารถอำนวยความสะดวกตั้งแต่ก่อนและหลังการผลิตสินค้าจนไปถึงมือผู้บริโภค
ดังนั้นทุกกระบวนการทั้งหมดที่กล่าวมาต้องทำงานสอดคล้องกันและมีประสิทธิภาพ
เนื่องจากจะส่งผลโดยตรงต่อ SME ใน ‘ต้นทุนการผลิต’ และที่สำคัญ คือ ‘ความพึงพอใจ’ ของผู้บริโภค (ลูกค้า)
ดังนั้นเพื่อต้องการให้ผู้บริโภค หรือ End Consumer ประทับใจในสินค้าหรือบริการ
เจ้าของสินค้าหรือผู้ผลิตสินค้าต้องมีระบบการจัดการห่วงโซอุปทาน หรือที่เรียกกว่า Supply
Chain Management ที่มีประสิทธิภาพ
ขณะที่การมาของโรคโควิดครั้งนี้ถือเป็นวิกฤต Supply Chain ที่อาจเกิดภาวะคลาดแคลนสินค้า จนเกิดข้าวยากหมากแพงขึ้นได้หากสถานการณ์เลวร้าย ยืดเยื้อยาวนานที่เปรียบเสมือนโลกอยู่ในภาวะสงคราม สิ่งที่น่ากังวลคือ องค์กรธุรกิจน้อยใหญ่ที่สะดุดลงเพราะวิกฤตครั้งนี้ ซึ่งการรักษาตัวรอดของทุกระดับองค์กรธุรกิจนั้น มีความสำคัญอย่างมากและจำเป็นอย่างมากที่ทุกฝ่ายต้องใส่ใจเพื่อความอยู่รอด เช่นเดียวกับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อย หรือ SMEs เองก็ต้องปรับตัวและงัดแผนฉุกเฉินออกมาใช้เพื่อพาธุรกิจให้อยู่รอด
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ธุรกิจสะดุด เมื่อ Sustainable
Supply Chain ติดขัด
ขณะเดียวกันปัจจุบันปัญหาการขาดสภาพคล่อง หรือเงินทุนหมุนเวียนไม่เพียงพอของผู้ประกอบการ
SME
ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Sustainable Supply Chain หยุดชะงัก นั้นหมายถึง ธุรกิจโดยภาพรวมทั้งระบบถูกกระทบไปด้วย เช่น
โรงงานขาดเงินทุนหมุนเวียนไปซื้อวัตถุดิบทำให้ไม่สามารถผลิตสินค้าได้ สินค้าไม่มีในสต๊อกก็ไม่สามารถส่งสินค้าไปให้ตัวแทนจำหน่ายได้
สุดท้ายอาจจะทำให้กระทบไปถึงสินค้าไม่ถึงมือผู้บริโภคได้ เป็นต้น
ดังนั้นทุกหน่วยงานต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญ ในการสนับสนุนสร้างความแข็งแกร่งด้านการเงินให้กับทุกหน่วยธุรกิจในเครือข่าย Sustainable Supply Chain สามารถดำเนินได้อย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพ ที่สำคัญผู้ประกอบการ SME ก็ต้องเร่งปรับตัวให้เข้าสอดคล้องกับธุรกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
5 ข้อดีของ
Sustainable Supply Chain
เมื่อธุรกิจโลกกำลังเปลี่ยนไปข้างหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ด้วยการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ามาบริหารจัดการ ดังนั้นซัพพลายเชนแห่งอนาคต
จะไร้เงาของโกดังและสต็อกสินค้า โดยนำ Sustainable Supply Chain มาบูรณาการจัดการองค์กรธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย
1. ลดความเสี่ยงที่ธุรกิจจะหยุดชะงัก เนื่องจากผลกระทบด้านเศรษฐกิจ
สังคม และสิ่งแวดล้อม
2. ปกป้องชื่อเสียงบริษัทและสร้าง Brand
Value
3. ลดต้นทุนในกระบวนการดำเนินธุรกิจ
4. พัฒนาผลิตภาพแรงงาน
5. สร้างนวัตกรรมใหม่ๆสอดรับกับตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
ผู้ผลิตต้องตอบโจทย์ผู้บริโภคตรงจุดและทันเวลา
นี่คือการทำธุรกิจยุคใหม่ที่นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้
ทำให้หลังบ้านของธุรกิจมีการบริหารจัดการสินค้าสุดฉลาดล้ำ
ผู้ผลิตจะตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคได้ตรงจุดและทันเวลา จนไม่ต้องมีการผลิตเผื่อเหลือเผื่อขาดให้สิ้นเปลือง
ไม่ต้องสต็อกสินค้า โกดังขนาดใหญ่โตมโหฬารไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
เมื่อเทียบการทำธุรกิจในอดีตที่ผ่านมา
ผู้ประกอบการต้องผลิตหรือสั่งของมาจำนวนมาก
ทุ่มทุนไปจำนวนมหาศาลให้หน้าร้านมีสินค้าพร้อมรับลูกค้าทุกกลุ่ม โดยเฉพาะธุรกิจขายเสื้อผ้าหรือรองเท้าที่ต้องมีทุกสีทุกไซส์
แล้วนำมาเก็บข้อมูลในภายหลังว่าลูกค้านิยมสินค้าประเภทไหน สินค้าประเภทใดขายดีที่สุด
แน่นอนว่าผู้ประกอบการต้องยอมแบกรับภาระต้นทุนจนจมกับสินค้าบางประเภท
ยิ่งเป็นธุรกิจที่ทำมานานนับสิบปี อาจต้องจมอยู่กับสินค้าที่ตกยุคสมัยทำให้โละสต็อกสินค้าขายแบบขาดทุน
ปัจจุบันห่วงโซ่การผลิตโลกพลิกโฉมจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด
ถือเป็นจังหวะเหมาะสำหรับผู้ประกอบการในการทำความเข้าใจห่วงโซ่อุปทานของตนเองให้ดียิ่งขึ้น
โดยอาจเริ่มจากการรู้จักแหล่งวัตถุดิบที่แท้จริงของธุรกิจแทนการรู้จักแต่ผู้ขาย
และในทางกลับกันก็ต้องสร้างตัวตนในตลาด เพื่อให้ผู้ประกอบการรายอื่นๆ
ที่เกี่ยวข้องได้รู้จักมากขึ้น