เชื่อว่าหลายคนคงได้ยินคำว่า
“สตาร์ทอัพ” กันมาเป็นระยะเวลาพอสมควร ซึ่งขณะนี้ในบ้านเรา
ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างกำลังผลักดันให้ธุรกิจดังกล่าวสามารถสร้างทั้งมูลค่าและสร้างการยอมรับให้เกิดขึ้นในตลาดโลก
ทั้งด้วยการสร้างสรรค์เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ การพัฒนาโมเดลธุรกิจให้มีความแตกต่างสามารถนำไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์
รวมถึงการจับคู่ธุรกิจและดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัพไทย
อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย ประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนอย่างอินโดนีเซีย
มาเลเซีย และเวียดนามต่างก็ให้ความสำคัญกับธุรกิจสตาร์ทอัพไม่แพ้กัน โดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซียที่ทุกวันนี้มีนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจลงทุนธุรกิจเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
จนสามารถพัฒนาสตาร์ทอัพให้ก้าวสู่ระดับยูนิคอร์น (สตาร์ทอัพที่มีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ)
และก้าวสู่ตลาดอินเตอร์ติดตลาดได้หลากหลายราย
ล่าสุด
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DIPT) โดยสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่(NEA) ได้ร่วมกับ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ
(องค์การมหาชน) หรือ NIA ดำเนินการจัดโครงการ “Pitch2Success :
สานฝันสตาร์ทอัพไทยสู่สากล” โดยมุ่งติดอาวุธสำคัญอย่าง “การพิชชิ่ง : Pitching” ให้กับเหล่าสตาร์ทอัพ
เพื่อสร้างทักษะที่ดีในการนำเสนอแผนธุรกิจ
และสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการจัดตั้งและขยายธุรกิจได้มากยิ่งขึ้นในอนาคต
คีย์เวิร์ดของเรื่องนี้ “เคล็ดลับการทำสตาร์ทอัพให้ประสบความสำเร็จ” โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากวงการสตาร์ทอัพมาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ซึ่งได้แชร์ข้อคิดดีๆไว้ได้แก่
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
“ปัญหาคือที่มาของสิ่งใหม่”
จุดเริ่มต้นแรงบันดาลใจของ ‘คุณรังสรรค์ พรมประสิทธิ์’ ผู้สร้างสรรค์และก่อตั้งแอพพลิเคชั่น
‘คิวคิว’ แอพเพื่อคนไม่ชอบรอคิว
ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาให้กับร้านอาหารและลูกค้าทั่วไป
ที่ไม่อยากเสียเวลารอคิวให้หมดไปอยู่หน้าร้าน
เทคนิคง่ายๆที่ฝากไว้ให้รุ่นน้องสตาร์ทอัพนำไปใช้ก็คือ
ต้องรู้จักวิเคราะห์ปัญหาจากสิ่งใกล้ตัว ตีโจทย์ให้แตกว่าจะแก้ไขปัญหานั้นได้อย่างไร
และที่สำคัญคือ คิดแล้วต้องลงมือทำ หาช่องทางในการนำนวัตกรรมมาช่วยพัฒนาระบบ
มองตลาดที่รองรับให้กว้าง และไม่หยุดยั้งในการพัฒนาสินค้าและบริการ
คุณรังสรรค์ เล่าว่า
“สำหรับผมการเขียนโปรแกรม
มันคือการแก้ปัญหาจากเมื่อก่อนเราพยายามจะแก้ปัญหาของคนอื่น
ส่วนใหญ่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจหลายๆอย่าง
จนมาตอนนี้เราก็แก้ปัญหาเหมือนเดิม เพียงแต่มองที่ปัญหาของตัวเองเป็นจุดเริ่มต้น
เอาเทคโนโลยีเข้ามาแก้ แล้วบังเอิญมันมีคนจำนวนมากที่มีปัญหาเหมือนเรา
และมีคนพร้อมจะจ่ายเพื่อโซลูชั่นที่เราคิดเราทำขึ้นมา มันก็เลยเกิดเป็นธุรกิจ
ทีนี้วิธีการและรูปแบบที่จะใช้มันคือโมเดลธุรกิจ เราจะให้มันโตไปทางไหน แบบไหน
แบบที่เราเลือกเราเลือกวิธีแบบสตาร์ทอัพมันก็เลยเกิดแบรนด์คิวคิว
ขึ้นมาแบบที่ได้เห็นกัน”
นอกจากนี้ ยังได้ทิ้งท้ายข้อคิดที่ฝากไว้ให้รุ่นน้องที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจสตาร์ทอัพ คือ “หาสิ่งที่ชอบ หาตัวเองให้เจอเร็วที่สุด โฟกัสในเรื่องนั้น และลุยให้มันสุดๆ ไปเลย”
สร้างคุณค่าและประสบการณ์ใหม่ๆ
ให้แก่ลูกค้า
ด้านนพพล อนุกูลวิทยา
ผู้ก่อตั้ง เทคมีทัวร์ : TAKE ME TOUR ธุรกิจท่องเที่ยวแนวคิด Local
Experience หรือประสบการณ์ร่วมกับชุมชน
โดยนพพลเล่าว่า “เทคมีทัวร์ ถือกำเนิดจากการเป็นคนชอบเที่ยวและไม่อยากเป็นลูกน้อง
จึงริเริ่มก่อตั้ง เว็บไซต์ ที่เป็นตลาดกลางให้นักท่องเที่ยวมาพบปะไกด์ท้องถิ่น
ซึ่งบริษัทได้สร้างแพลตฟอร์มในการสร้างทริป ตั้งราคาและพาเที่ยวได้ด้วยตนเอง
หรือที่เรียกว่า Local Expert ถ้าคุณรู้จักย่านที่คุณอยู่เป็นอย่างดี และ
มีไอเดียพาเที่ยวก็สามารถเข้ามาสร้างทริปได้ฟรี
เพราะเราเชื่อว่า “ใครๆก็พาเที่ยวได้”
ส่วนในด้านนักท่องเที่ยวต่างชาติก็จะเข้ามาเลือกทริปและจองออนไลน์ผ่านหน้าเว็บไซต์ได้เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม เทค มี ทัวร์ มีโมเดลธุรกิจเดินตามแนวคิดแบบ Sharing Economy หรือเศรษฐกิจแบ่งปัน
ซึ่งเป็นคอนเซปต์ใหม่ของโลกที่เราพยายามสร้างให้เห็นว่า Local Experience มันมากกว่าแค่การไปในที่ชุมชน
หรือชนบทไกลๆ หรือการเที่ยวเมืองไทยอาจไม่ใช่เรื่องของวัดพระแก้ว
หรือวัดอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องทั่วๆ ไปในชีวิตรอบๆ ตัวเราทั้งหมดเลย
ด้วยคอนเซปต์นี้ทำให้เกิดความหลากหลายในกิจกรรมการท่องเที่ยวค่อนข้างมากขึ้น เปรียบเสมือนการสร้างคุณค่าและประสบการณ์ใหม่ๆให้กับลูกค้า ทั้งฝากข้อคิดให้คนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจสตาร์ทอัพ คือ “จิตใจต้องพร้อม ต้องสู้ระดับหนึ่ง แต่ต้องชอบในสิ่งที่คุณทำเมื่อเห็นปัญหา และนำมาเพื่อแก้ไข"
ขณะที่ นายปริวรรต วงษ์สำราญ
ผู้อำนวยการศูนย์ Startup
Thailand สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ
(องค์การมหาชน) กล่าวว่า การเริ่มต้นทำสตาร์ทอัพ สิ่งสำคัญจะต้องเข้าใจกลุ่มลูกค้า
เข้าใจกระบวนการในการพัฒนาเรื่องของสินค้า และผู้ประกอบการต้องไม่ย่อท้อ
ยกตัวอย่างจากทั้งคิวคิวและเทคมีทัวร์
กว่าที่จะประสบความสำเร็จในตลาดต่างประเทศและได้มาพูดบนเวทีนี้ได้นั้น เมื่อ 3-4 ปีที่แล้วเขาค่อนข้างทรหด
ล้มแล้วลุกเสมอไม่ย่อท้อ
นอกจากนี้
ไม่มีใครรู้ว่าในสิ่งที่เรากำลังทำมันจะประสบความสำเร็จหรือไม่
เพราะการทำสตาร์ทอัพส่วนใหญ่แล้วเป็นสิ่งใหม่ในตลาด
เราจึงต้องรู้จักเตรียมความพร้อม ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล เงินทุน เครือข่ายธุรกิจ
แผนการทำตลาด ฯลฯอีกอย่างหนึ่งก็คือเราล้มเมื่อไหร่ก็ต้องลุกเสมอ
เพราะว่าจะไม่มีใครเป็นไอดอลหรือเป็นตัวอย่างที่ดีให้เราได้
เราต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง
ต้องทดสอบสมมติฐานเรื่อยๆอยู่เสมอ และประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ
ปัญหาทุกอย่างมีทางออก ไม่มีเงินก็มีหน่วยสนับสนุน ไม่มีตลาดเราก็ต้องหาวิธีทำ Business Model ใหม่ขึ้นมา
เพราะฉะนั้นปัญหาพวกนี้สามารถทำได้ แก้ไขได้ เพียงแค่อย่าเพิ่งยอมแพ้อะไรง่ายๆ