“ภาษีความหวาน” ผู้ประกอบการหลายท่านคงทราบแล้ว 1
ตุลาคม นี้ สรรพสามิตจัดเก็บภาษีความหวานภายใต้พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต
รอบใหม่ซึ่งมีการปรับ 2 ปีครั้งเริ่มครั้งแรกในปี 2560 ที่ผ่านมาและ
รอบที่กำลังจะถึง คือ 1 ตุลาคม - 30 กันยายน 2564
โดยกรมสรรพสามิตได้เสนอแนวทางการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่ม โดยเพิ่มการจัดเก็บภาษีตามปริมาณน้ำตาลโดยเสนอปรับอัตราภาษีเป็นขั้นบันไดในทุก ๆ 2 ปี สูงสุดถึง 5 บาทต่อลิตร ทำให้อุตสาหกรรมเครื่องดื่มเกิดการปรับตัว ส่งผลให้มีการปรับพฤติกรรมการบริโภคของประชาชน ซึ่งโดยส่วนใหญ่บริโภคน้ำตาลในปริมาณที่สูงเกินกว่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลกถึง 2-3 เท่า ต่อการใช้พลังงานของร่างกายในแต่ละวัน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อาทิเช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ เป็นต้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ทั้งนี้ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่กรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีความหวานภายใต้พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต
พ.ศ. 2560 เพื่อส่งเสริมสุขภาพของประชาชนให้ดีขึ้นและรองรับกับสังคมผู้สูงอายุ
โดยการใช้มาตรการภาษีดังกล่าวสนับสนุนให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่ม
ปรับสูตรการผลิตเพื่อส่งเสริมเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลน้อยและเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพใหม่
ๆ เข้าสู่ตลาด ส่งผลให้ประชาชนมีทางเลือกในการบริโภคเครื่องดื่มมากขึ้น
สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ตามนโยบายในการลดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีความหวานมากเกินความจำเป็นของร่างกายได้เป็นอย่างดี
ภาษีได้เพิ่มขึ้นเป็น 4,500 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี ในฐานะรองโฆษกกรมสรรพสามิต
เปิดเผยว่าจากการสำรวจความเห็นภาคประชาชน ผู้เชี่ยวชาญ
และอุตสาหกรรมเครื่องดื่มน้ำตาลส่วนผสม
พบว่าอุตสาหกรรมเครื่องดื่มปรับลดปริมาณการใส่น้ำตาลลงพร้อมติดโลโก้แสดงสัญลักษณ์เพื่อสุขภาพเพิ่มขึ้น
2 เท่าตัว ผู้ที่ให้ความสนใจในเรื่องสุขภาพมีอายุอยู่ในช่วง
30 ปีลงมา และ 60 ปีขึ้นไป ส่วนอายุในช่วงระหว่าง 30 ถึง 60 ปีไม่ค่อยความสนใจมากนัก
โดยผู้ตอบแบบสำรวจเกี่ยวกับมาตรการภาษีความหวานและการตระหนักถึงอันตรายจากการบริโภคน้ำตาลมากเกินความจำเป็นของร่างกาย มีไม่ถึง 50% สะท้อนให้เห็นถึงการประชาสัมพันธ์ที่ไม่เพียงพอตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นต้องเพิ่มช่องทางการสื่อสารที่ได้รับความนิยมสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งควรเพิ่มช่องทางการประชาสัมพันธ์สินค้าที่เป็นทางเลือกเพื่อสุขภาพให้ประชาชนเข้าถึงเพิ่มมากขึ้น และได้หารือกับคณะทำงาน และผู้ประกอบการเพื่อปรับเปลี่ยนโลโก้ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมทั้งแสดงสัญลักษณ์ที่ชัดเจนมากขึ้น
สำหรับแนวทางเพิ่มการจัดเก็บภาษีตามปริมาณน้ำตาลโดยเสนอปรับอัตราภาษีแบบขั้นบันไดในทุก 2 ปี ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 2560 ทำให้อุตสาหกรรมเครื่องดื่มได้ปรับตัว ส่งต่อพฤติกรรมการบริโภคของประชาชน และการจัดจัดเก็บภาษีปีที่ผ่านมารายได้ 2,000- 3,000 ล้านบาท และคาดว่าในปีงบประมาณ 2563 เก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นเป็น 4,500 ล้านบาท