ภายใต้เงื่อนไขการพัฒนาเศรษฐกิจยุคดิจิทัล ประเด็นด้านการเร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ประกอบการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (e-Bussiness) ต่างประเทศถุกรัฐบาลหยิบยกมาพิจารณาอีกครั้ง โดยปัจจุบัน พ.ร.บ. ดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของกฤษฏีกา ทั้งคาดว่าจะเสนอสภาพิจารณาได้ภายในปี 2562 เพื่อจัดเก็บภาษีจากผู้ค้าออนไลน์รายใหญ่ต่างประเทศ รวมถึงการจัดทำระบบ Big Data เชื่อมโยงข้อมูลภาษีกรมจัดเก็บภาษีทั้งสรรพสามิต กรมศุลกากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน นำมาวิเคราะห์แผนการจัดเก็บภาษี เพื่อขยายฐานภาษีให้ครอบคลุมและเป็นธรรมมากขึ้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายสันติ พร้อมพัฒน์
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง มอบนโยบายให้ผู้บริหารกรมสรรพากร
เพื่อผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างภาษีทั้งระบบรองรับเศรษฐกิจดิจิตอล เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ
ศึกษาแนวโน้มอัตราภาษีของประเทศเพื่อนบ้าน และดูแลประชาชนทั่วไปให้เป็นธรรม สำหรับการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเหลือร้อยละ
10 นั้น ต้องพิจารณาหลายปัจจัยให้สอดคล้องกัน ขณะที่ภาษีนิติบุคคลต้องแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยกรมสรรพากรเตรียมเปิดระบบ Block Chain ในเดือนตุลาคม 2562
ให้บริการภาษียุคใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง
นายอุตตม กล่าวยอมรับว่า
ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกมีปัญหาในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา (ตุลาคม-กรกฎาคม62)
จะเก็บรายได้รวม 1.595 ล้านล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 48,444 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.1
และสูงกว่าปีก่อน 101,846 ล้านบาท กรมสรรพากรยังมั่นใจยอดจัดเก็บภาษีในปี 2562
จัดเก็บสูงกว่าเป้าหมาย 2 ล้านล้านบาท และในปี 2563 คาดว่าจัดเก็บได้ 2.16
ล้านล้านบาท
ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเตรียมอัดฉีดเงินออกสู่ระบบช่วงนี้
ต้องติดตามเร่งรัดอย่างใกล้ชิดเพื่อสู้กับปัญหาเศรษฐกิจโลก รวมไปถึงส่งเสริมการลงทุนผ่านนโยบายภาษี สำหรับแนวทางจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7
จะครบกำหนดในสิ้นเดือนกันยายนี้ อาจต้องพิจารณาการจัดเก็บให้สอดคล้องกับปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัวเพื่อไม่ให้ทุกฝ่ายเดือดร้อน
เล็งเก็บภาษี e-Bussiness ต่างชาติเพิ่ม
ขณะที่นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า คาดการณ์จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ประกอบการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์
(e-Bussiness) ต่างประเทศ หลังจากได้หารือกับผู้ประกอบการรายใหญ่ อย่างเช่น Facebook Alibaba Amazon ได้เตรียมพร้อมระบบรองรับ
ซึ่งคาดว่าจัดเก็บรายได้ภาษีเพิ่ม 3,000-4,000 ล้านบาทต่อปี
จากการศึกษาแนวทางจัดเก็บภาษีต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย เกาหลี และยุโรป ประมาณ
20 ประเทศ บริษัทขนาดใหญ่ ต่างมีธรรมาภิบาลจะไม่ยอมเสียชื่อเสียง
แต่รายเล็กทั่วไปต้องระวัง
ยอมรับว่าหลายประเทศส่วนใหญ่จัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น
สำหรับข้อกังวลการอำนาจในการเรียกเก็บภาษีจากผู้ประกอบการต่างประเทศนั้น
ทั้งเพื่อรองรับการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ประกอบการที่ไม่ได้มาจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
(VAT) กรมสรรพากรเตรียมยกร่างกฎหมาย (Exchang Of Information) ตามมาตรฐาน OECD เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศ
ส่งข้อมูลของประเทศสมาชิก
เพื่อประเมินรายได้ภาษีระหว่างสมาชิกในการจัดเก็บภาษีการค้าออนไลน์ เนื่องจากทั้งโลกเกิดปัญหาภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดเก็บไม่ได้เมื่อมีการขายสินค้าออนไลน์
รวมทั้งเพื่อลดปัญหาบริษัทต่างชาติไม่ได้ตั้งสำนักงานในประเทศไทย
จึงไม่มีอำนาจจัดเก็บภาษี จึงต้องออกร่างกฎหมายแบบใหม่เหมือนกับฝรั่งเศส
ซึ่งเป็นอีกแนวทางในการออกกฎหมายจัดเก็บภาษีแบบใหม่
สรรพากรจึงต้องศึกษาแนวทางจัดเก็บภาษีร้อยละ 3 ของรายรับจากธุรกรรมที่เกิดขึ้น
นายเอกนิติ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวคิดการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเหลือร้อยละ 10 ยอมรับว่า รัฐบาลสูญเสียฐานรายได้แน่นอน และมีปัญหาประเด็นความเหลื่อมล้ำตามมา เพราะฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปัจจุบัน มีผู้ยื่นแบบเสียภาษี 10.7 ล้านรายต่อปี เมื่อคำนวณแล้วจะเหลือผู้มีเงินได้ต้องเสียภาษีมีเพียง 4 ล้านคน ที่ต้องเสียภาษีจริง ส่วนผู้ยื่นแบบคนอื่นได้รับการหักลดหย่อน หรือไม่เข้าข่ายเสียภาษี
โดยผู้มีรายได้สูงหรือคนรวยประมาณร้อยละ 3 จ่ายรายได้ภาษีให้รัฐบาลสัดส่วนถึงร้อยละ 72 ดังนั้นหากลดอัตราภาษีกระทบรายได้รัฐอย่างแน่นอนและสร้างปัญหาความเหลื่อมล้ำเพิ่มเติมอีก ปัจจุบันรายได้บุคคลธรรมดาประมาณ 4 แสนล้านบาท ร้อยละ 17 จากบุคคลธรรมดา โดยรายได้กรมสรรพากรทั้งหมด 2 ล้านล้านบาท ดังนั้นการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต้องพิจารณาให้รอบคอบ