คนไทยท่องเน็ตเพิ่มขึ้น ดัน ‘ค้าออนไลน์’ ปีนี้โตได้อีก
คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น!!!
ผลจากโควิด 19
ทำให้วิถีชีวิตคนเริ่มเปลี่ยนไป และใช้เทคโนโลยีเยอะขึ้น ชีวิตบนโลกออนไลน์นานขึ้น
เทคโนโลยีเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน การประชุมทางไกล การเรียนออนไลน์ ช้อปปิ้งออนไลน์
เสพความบันเทิงผ่านวิดีโอสตรีมมิ่ง และการจับจ่ายไร้เงินสดผ่านแอปพลิเคชัน
จากข้อมูลของสำนักงานธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
(สพธอ.) หรือ ETDA รายงานผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยเมื่อปี
2563 ที่ผ่านมา พบว่าประชาชนชาวไทยใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยวันละ 11 ชั่วโมง 25 นาที (เพิ่มขึ้นจากปี
2562 จำนวน 1 ชั่วโมง 3 นาที) สอดคล้องกับผลการผลสำรวจฯ
ที่ถามถึงการเปรียบเทียบพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตจากปี 2563 จำนวน 78.3%
ของผู้ตอบแบบสำรวจฯ ตอบว่า มีการใช้อินเทอร์เน็ตที่เพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้เหตุผลหลักที่ทำให้มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตมากขึ้น
คือการที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ง่าย มีเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วถึง รองลงมาคือมีความจำเป็นต้องใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น
และบริการต่างๆ ในชีวิตประจำวันสามารถทำผ่านออนไลน์มากขึ้น ทำให้การดำเนินชีวิตสะดวกสะบายตามมา
ขณะเดียวกันผลกระทบจากโรคโควิดถือว่าเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้ประชาชนชาวไทยหันมาเลือกทำกิจกรรมออนไลน์เพิ่มมากขึ้น แทนการเดินทางจากบ้านเรือนเพื่อหลีกเลี่ยงการต้องพบปะผู้คนเสี่ยงต่อการติดโรคโควิด โดยเฉพาะในที่สาธารณะ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
กลุ่ม Gen Z Gen
Y ท่องเน็ตเฉลี่ยต่อวันมากที่สุด
ปัจจุบันกลุ่ม Gen Z และ กลุ่ม Gen Y ที่อยู่ในวัยเรียน
วัยทำงาน ถือเป็นกลุ่มที่ใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยต่อวันมากที่สุดนั้น ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดจำเป็นต้องปิดสถานศึกษา
ทำให้ต้องสอนและเรียนแบบออนไลน์มากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับกลุ่มทำงานส่วนใหญ่ บริษัทมีนโยบายให้พนักงานทำงานแบบ
Work from Home ทำให้ต้องเปลี่ยนรูปแบบการทำงานในรูปแบบออนไลน์มากขึ้น
โดยพบว่ากลุ่ม Gen Y (อายุ 20-39 ปี) มีการใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดอยู่ที่ 12 ชั่วโมง 26 นาที รองลงมาคือกลุ่ม
Gen Z (อายุน้อยกว่า 20 ปี) จำนวน 12 ชั่วโมง 8 นาที กลุ่ม Gen
X (อายุ 40-55 ปี) จำนวน 10 ชั่วโมง 20 นาที และกลุ่ม Baby Boomer (อายุ 56-74 ปี) จำนวน 8 ชั่วโมง 41 นาที
ส่วนสื่อสังคมออนไลน์ที่ครองใจประชาชนชาวไทยคือ
Facebook, YouTube และ LINE โดยผู้ตอบแบบสำรวจฯ
ยกให้ Facebook เป็นอันดับที่หนึ่ง คิดเป็น 98.29% รองลงมาคือ YouTube คิดเป็น 97.5% และ LINE คิดเป็น 96.0% ส่วนสื่อสังคมออนไลน์ที่มาแรงในปี 2564 ต้องยกให้ TikTok
ซึ่งได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว คิดเป็น 35.8%
ดัน Social Commerce เติบโต
ทั้งนี้จากข้อมูลวิจัยด้านเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประเมินว่าอีคอมเมิร์ซไทยมีมูลค่ามากกว่า 9,000
ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณกว่า 270,000 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ
ธนาวัฒน์ มาลาบุปผา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Priceza บอกว่า ธุรกิจอีคอมเมิร์ซยังคงเติบโตต่อเนื่องแบบก้าวกระโดดและยังเป็นธุรกิจดาวรุ่งอันดับ
1 ในปีนี้
โดยเทรนด์ที่ผลักดันให้ตลาดแข่งขันกันอย่างดุเดือด
เพื่อแย่งส่วนแบ่งการตลาดที่มีมูลค่ามหาศาลต่อปี คือ “โซเชียลคอมเมิร์ซ”
ที่ยักษ์ใหญ่โซเชียลมีเดียลงมาเล่นตลาดนี้อย่างจริงจัง เช่น Facebook ที่เปิด Facebook Shops เมื่อกลางปี
2563 ที่ผ่านมา โดยเปิดพื้นที่ขายจากเดิมแบบไร้รอยต่อ
ให้ผู้บริโภคซื้อขายโอนเงินจบในเฟซบุ๊กแบบไม่ต้องออกจากแอปพลิเคชั่นไปยังเว็บไซต์ของแบรนด์
ส่วน LINE
เองก็ปลุกปั้น LINE Shopping อย่างจริงจังมากขึ้นหลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปี
2561 ซึ่งจากที่ตอนแรกวางตัวเองเป็นแหล่งรวมออนไลน์ช้อปปิ้งไว้ในที่เดียว เป็นเหมือน
Market Place Aggregator ตอนนี้ก็ปรับมาเป็นแหล่งรวบรวมร้านค้าที่เปิดร้านด้วย
LINE MyShop เท่านั้น
ขณะที่ e-Marketplace อย่างช้อปปี้ ลาซาด้า และ เจดี เซ็นทรัล
จากเดิมที่ผู้บริโภคต้องเข้ามาหา ปัจจุบันแพลตฟอร์มต้องเข้าไปหาลูกค้าเฉพาะกลุ่ม
พร้อมจัดโปรโมชั่น โค้ดส่วนลด และการส่งฟรี จูงใจให้ผู้บริโภคมาใช้งานตลอดทั้งสั่งซื้อสินค้า
แม้ปัจจุบันโควิดยังไม่จบลง แต่คาดว่า
ปี 2564 จึงกลายเป็นอีกปีทองของ อีมาร์เก็ตเพลส และโซเชียลคอมเมิร์ซ สมรภูมิรบการค้าออนไลน์ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด
เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดและตอบโจทย์สังคมไทยที่ก้าวสู่ดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ