“เพราะการขายคือกุญแจแห่งความสำเร็จ
นับตั้งแต่วันแรกที่คุณลืมตาดูโลกจนถึงวันสุดท้าย”
ประโยคบนหน้าปกชองหนังสือ Best Seller ที่มีชื่อชวนสะดุดความสนใจว่า “To SELL IS HUMAN เกิดเป็นคนต้องขายเป็น” เขียนโดย Daniel H. Pink หนังสือที่จะพาคุณดำดิ่งไปสู่กลไกเบื้องหลังการขายของมนุษย์เรา พร้อมบอกเทคนิคทางจิตวิทยาที่จะทำให้คุณกลายเป็น ‘นักจูงใจชั้นยอด’ และสามารถ ‘ขาย’ สิ่งที่คุณอยากขายในแบบที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ลง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
เจ๋งใช่มั้ยละ ?
ก่อนอื่นเราอยากให้คุณตั้งสมมติฐานว่าหากจะต้องเลือก ‘ขาย’ อะไรซักอย่างภายใต้โจทย์ที่ว่า ในภาวะปกติคนเราจะไม่ขายของเหล่านี้กัน เพื่อเริ่มต้นปลุกสัญชาตญาณนักขายในตัวคุณขึ้นมาก่อน เพราะจากทฤษฎีที่ว่า ‘คนเราขายเป็นมาตั้งแต่เกิด’ เพียงแต่เราอาจไม่ได้ขายในรูปแบบปกติ
และแน่นอนว่ามี ‘บางคน’
ได้สละทรัพยากรเพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่เราได้นำเสนอออกไปในรูปแบบการขาย โดยที่เราเองก็อาจไม่ได้ตั้งใจ
ยกตัวอย่างเช่น คุณกำลังเสนอขายความเป็นตัวคุณผ่านการโพสต์ข้อความในช่องทาง
Facebook, Twitter, Instagram, TikTok หรือแม้แต่วิธีปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมงาน
หัวหน้า ลูกค้า คนรอบๆ ตัวคุณ ซึ่งแน่นอนว่าทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นข้อความ ภาพ
เสียง การแสดงออกทางร่างการ หรือแม้แต่การไม่แสดงออกใดๆ เลย
นั่นคือ ‘จุดขาย’ ที่ตัวคุณเองสร้างแคมเปญขึ้นมามารู้ตัวอีกทีคอนเทนต์ดังกล่าวก็สามารถจูงใจให้เกิดการแลกเปลี่ยนหรือซื้อไปเรียบร้อยแล้ว
เพียงแต่บางครั้งคุณเองก็ไม่ทราบว่าได้แลกอะไรไป
ขณะที่รูปแบบการขายปกติทั่วไป บางคนอาจจะรู้สึกว่าก็คงไม่ต่างจากการขายโดยการแลกเปลี่ยน การยื่นผลประโยชน์ตอบแทน แต่สำหรับหนังสือเรื่อง “To SELL IS HUMAN เกิดเป็นคนต้องขายเป็น” ต้องบอกเลยว่า นั้นเป็นรูปแบบการขายขั้นพื้นฐาน และยังเรียกได้ว่าห่างไกลกับลิบกับการเป็นนักจูงใจ และนักขายมืออาชีพ เพราะโดยทฤษฎีสุดยอดนักขายแห่งยุค ความสำเร็จสูงสุดของการขาย คือ
การไม่ต้องขาย
งงละสิ...ไหนบอกว่าให้ขาย
แต่ทำไมถึงบอกย้อนแย้งว่าการขายที่ดี คือการไม่ขาย
นั่นก็เพราะโลกปัจจุบันที่กลาดเกลื่อนไปด้วยเครื่องมือสื่อสาร
ความรู้และข้อมูลถูกสืบค้นขึ้นมาตอบโจทย์ความอยากรู้ได้ตามที่ต้องการ แค่คุณมี ‘อินเทอร์เน็ต’ ดังนั้นการขายขั้นสุดยอดคือการจุงใจ และตอบสนองความเชื่อของผู้ซื้อ
ภายใต้การรวบรวมข้อมูล ปรับเปลี่ยนรูปแบบ พัฒนาวิธีการสื่อสาร
ทำให้เป็นเรื่องใกล้ตัว !
ทฤษฎีนี้ต้องนับย้อนเมื่อ 1900 ปีที่แล้ว
นักปรัชญาแนวสโตอิก ชื่อ เอพิกเตตัส ซึ่งศึกษาปรัชญาที่สอนให้อดทนต่อความยากลําบาก
ควบคุมตัวเอง และไม่ปล่อยให้อารมณ์แง่ลบมากวนใจ กล่าวไว้ว่า
“ธรรมชาติสร้างให้เรามีลิ้นอันเดียว แต่มีหูถึงสองข้าง
เพื่อให้เราสามารถรับฟังสิ่งที่คนอื่นมากกว่าเป็นสองเท่าของสิ่งที่เราพูด”
น่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีใครฟังเขามากนัก
แม้ผ่านมายุคหลังจะมีชื่อเสียงขึ้นบ้าง แต่ก็นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เขาเสียชีวิตไปนับร้อยปีแล้ว หลายคนจึงตั้งคำถามว่า เป็นเพราะอะไร
ก็เพราะมนุษย์เกิดมาเพื่อสื่อสาร ถ้าคุณไม่มีวิธีสื่อสาร หลีกเลี่ยงที่จะสื่อสาร คุณจะไม่ใช่นักขายที่ดี เพราะทันทีที่คุณสื่อสาร นั่นหลายความว่าคุณได้ขายบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคำถาม การตอบคำถาม การโต้แย้ง การยอมรับ หรือแม้แต่การพูดลอยๆ ก็คือขั้นตอนหนึ่งที่ทำให้คุณสามารถปิดยอดขายได้
และเข้าใจว่า เอพิกเตตัส คงเอาแต่ฟังอย่างเดียวสงวนคำพูดจนขาดการสื่อสารที่ประสบผล
บอกเล่าแค่เป็นน้ำจิ้ม ซึ่งไม่ยากเลยใช่มั้ยสำหรับแบบฝึกหัดของการเป็น ‘นักขาย’ แต่ถ้าอยากรู้เคล็ดลับมากกว่านี้ลองหาหนังสือเล่มนี้อ่านดู หนังสือออกจะหนาหน่อยสำหรับคนมีเวลาน้อย แต่ค่อยๆ อ่านไปทีละบท ทำความเข้าใจเนื้อหาให้ถ่องแท้ จะเกิดประโยชน์คุ้มราคาและเวลาที่เสียไปอย่างแน่นอน
แล้วคุณจะมองการขายในมุมที่แตกต่างออกไป