เทคนิคออกแบบเครื่องหมายการค้าให้ผู้บริโภคจดจำได้ง่าย

การพัฒนาปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ แต่ถ้าตัวผลิตภัณฑ์หน้าตาดีแล้ว แบรนด์ยังไม่เติบโตไปในแนวทางที่ควรจะเป็น ควรพิจารณาและปรับปรุงตัวแบรนด์ว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับสินค้าหรือไม่ เช่น ถ้าแบรนด์สื่อถึงอาหารเพื่อสุขภาพ รับประทานแล้วสุขภาพดี แต่ตัวผลิตภัณฑ์เองกับปรุงแต่งด้วยวิธีการทอด แบบนี้ควรปรับปรุง เพราะถือว่ายังไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ทั้งนี้ เครื่องหมายการค้าหรือแบรนด์ ไม่ใช่คำตอบทั้งหมดว่าสินค้าที่มีจะขายได้หรือไม่ แต่ที่ดีจะทำให้ผลิตภัณฑ์เติบโตไปได้ไกล ดังนั้นการออกแบบจึงต้องใช้ความรู้ ความเข้าใจหลายภาคส่วนเข้ามาผสมผสานกัน จึงจะตอบโจทย์ทางการตลาดและทำให้ผลิตภัณฑ์โดดเด่น โดนใจผู้บริโภค ซึ่งเครื่องหมายการค้ามีอยู่ทั้งหมด 4 ประเภทด้วยกัน คือ

ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme 

1. เครื่องหมายการค้า (Trademark) : เป็นเครื่องหมายที่ใช้กำกับสินค้าเพื่อแสดงว่าสินค้า ที่ใช้เครื่องหมายนั้นแตกต่างกับสินค้าที่ใช้เครื่องหมายของผู้อื่น

2. เครื่องหมายบริการ (Service Mark) : เป็นเครื่องหมายที่ใช้กับธุรกิจบริการ เพื่อแสดงว่าบริการที่ใช้เครื่องหมายนั้นแตกต่างกับบริการที่ใช้เครื่องหมายของผู้อื่น

3. เครื่องหมายรับรอง (Certification Mark) : เป็นเครื่องหมายที่ใช้รับรองคุณภาพในสินค้าหรือบริการของผู้อื่น

4. เครื่องหมายร่วม (Collective Mark) : เป็นเครื่องหมายการค้าหรือบริการที่ใช้โดยบริษัท สมาคม สหกรณ์ สหภาพ สมาพันธ์ หรือรัฐวิสาหกิจ องค์กร์ในกลุ่มเดียวกัน

เครื่องหมายการค้าคืออะไร?

เครื่องหมายการค้า เป็นสิ่งที่ใช้สื่อความหมายถึงตัวผลิตภัณฑ์ ต้องมีองค์ประกอบจากภาพถ่าย ภาพวาด ตราประดิษฐ์ ตรา ชื่อ คำ ข้อความ ตัวหนังสือ ตัวเลข ลายมือชื่อ กลุ่มของสี รูปร่างหรือรูปทรง ของวัตถุหรือสิ่งเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน จนกลายเป็นเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายการค้าอาจใช้สีสื่อถึงความหมาย ใช้หลักการออกแบบในการสื่อสาร เช่น ดูเรียบง่าย ขี้เล่น หรือเป็นทางการ เป็นภาพ ข้อความ หรือมีทั้งภาพและข้อความ และแม้แต่ตัวอักษรเพียงอย่างเดียวก็สามารถใช้สื่อถึงอารมณ์ความรู้สึกของแบรนด์ได้

เครื่องหมายการค้าจึงมีประโยชน์ในทางธุรกิจ เพราะสร้างการจดจำแก่ผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคแยกแยะได้ถึงความแตกต่างของสินค้าตามความต้องการ ไม่เกิดการสับสนกับเครื่องหมายการค้าอื่น และยังมีประโยชน์ทางกฎหมาย ที่ผู้คิดค้นเครื่องหมายการค้านั้นๆ เป็น/รายแรก ใช้ได้แต่เพียงผู้เดียว อย่างไรก็ดี ผู้ผลิตหรือเจ้าของแบรนด์ควรมีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ไว้ด้วย

ในการออกแบบเครื่องหมายการค้าจะต้องให้สอดคล้องทั้งคุณภาพและราคา เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาด ต้องคิดให้ออกว่าคนแบบไหนที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา กลุ่มเป้าหมายทางการตลาดของผลิตภัณฑ์นั้นๆ คือใคร ถ้าต้องการขายให้คนกลุ่มใหญ่ ต้องพุ่งเป้าไปทำการตลาดเชิงปริมาณ ถ้ากลุ่มลูกค้าที่คาดหวังเป็นคนกลุ่มเล็กแต่มีอำนาจการซื้อสูง ก็ควรออกแบบเครื่องหมายการค้าตลอดจนพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ให้ตอบโจทย์คนกลุ่มนั้น

หลักการออกแบบเครื่องหมายการค้า

1. ต้องเข้าใจตลาดและกลุ่มเป้าหมาย  เช่น เพศ อายุ การศึกษา ความชอบ รสนิยม ศาสนา ประเพณี วัฒนธรรม ทดสอบด้วยการฝึกสังเกตเมื่อมีโอกาสไปตั้งบูทจัดแสดง/ขายสินค้า ตามงานต่างๆ จะพบเห็นพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีความหลากหลาย ให้ศึกษาสังเกตพฤติกรรมของผู้คนที่เข้ามาซื้อสินค้าและบริการของเรา พิจารณาดูตั้งแต่รูปร่าง หน้าตา การแต่งตัว สิ่งของที่ใช้ราคาเท่าไหร่ แล้วมาประเมินว่าเขาน่าจะมีกำลังซื้อแค่ไหน หรือมีสถานภาพทางการเงินแบบใด จากนั้นนำมาคำนวณกำหนดราคาให้เหมาะสมกับลูกค้า กลุ่มเป้าหมาย และสินค้าที่มี หรือจะใช้วิธีวางสินค้าตัวอย่างไว้ให้ลองใช้ ลองชิม ระหว่างนั้นสอบถาม สัมภาษณ์ ความพึงพอใจ เก็บบันทึกไว้เป็นข้อมูลแล้วนำมาพัฒนาปรับปรุงสินค้าที่มี ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางการวิจัยการตลาดอย่างง่าย ที่ช่วยให้ประเมินราคาสินค้าได้ โดยใช้การสังเกต วิเคราะห์ จดบันทึก

2. สื่อสารให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ต้องชัดเจน ตรงประเด็น มีความเป็นสากล มีความเป็นตัวตน มีเรื่องที่ต้องการถ่ายทอด มีความเป็นสากล ต้องเข้าใจง่าย รูปภาพ กราฟิก ต้องแสดงเป็นสากลแต่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวตนของตนเองจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม การออกแบบเครื่องหมายการค้าที่ดีต้องทำให้คนทั่วไปเข้าใจง่าย สิ่งที่ต้องการสื่อสารออกไปไม่ว่าจะเป็นในเชิงของการใช้สี รูปภาพ ข้อความ สัญลักษณ์ กราฟิก รูปแบบตัวอักษร ล้วนต้องสื่อสารได้ชัดเจน ไม่กำกวม และเป็นสิ่งที่คนทั่วไปเข้าใจ ไม่เฉพาะเจาะลึกซ่อนเงื่อนปมหรือเป็นสิ่งที่รู้เฉพาะกลุ่ม ไม่กว้างขวาง คลุมเครือ ก็จะนำมาสู่การจดจำ และเข้าถึงได้ง่ายของผู้บริโภค

สร้างการจดจำในใจผู้บริโภค

เนื่องจากความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และการแข่งขันในตลาดมีสูง หากเครื่องหมายการค้าหรือตัวผลิตภัณฑ์เป็นที่ง่ายต่อการจดจำ ลดความสับสนของผู้บริโภคได้ ผลิตภัณฑ์ของเราก็จะเข้าไปอยู่ในกระบวนการรับรู้ของผู้บริโภคได้ง่ายเช่นเดียวกัน ซึ่งการออกแบบเครื่องหมายการค้าควรออกแบบให้ตอบรับต่อกระบวนการจดจำของผู้บริโภค ดังนี้

1. แบรนด์ หรือตราสินค้า ต้องแตกต่างเพื่อการเติบโต มีความง่ายในการสื่อสาร

2. ผลิตภัณฑ์ดี ตอบโจทย์และเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภค

3. บรรจุภัณฑ์เด่น จะกระตุ้นให้เกิดความสนใจ

4. เป็นเอกลักษณ์ ทำอย่างไรให้จำง่าย

5. เกิดการจดจำ ซื้อซ้ำ หรือบอกต่อ 

เมื่อได้เครื่องหมายการค้าที่สื่อถึงตัวตนของแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจน เข้าใจง่าย บนบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามแล้ว จึงจะไปสู่ขั้นตอนการยื่นขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ตามกระบวนการ 8 ขั้น ดังนี้

ขั้นตอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า

1. ตรวจค้นได้ด้วยตนเอง

2. ยื่นคำขอพร้อมชำระค่าธรรมเนียม

3. เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเบื้องต้น

4. นายทะเบียนตรวจสอบเครื่องหมายการค้า

5. การประกาศโฆษณา

6. การคัดค้าน

7. สามารถชำระค่าธรรมเนียมได้ ถ้าไม่มีการคัดค้านเกิดขึ้น

8. กรมทรัพย์สินทางปัญญารับจดทะเบียน

ในการยื่นจดเครื่องหมายการค้า เมื่อสิ้นสุดกระบวนการผ่านการพิจารณาแล้ว กฎหมายจะคุ้มครองสิทธิ์ให้แก่ผู้ยื่นจดทะเบียน 10 ปี ทำให้ไม่มีใครลอกเลียนแบบหรือสวมรอยได้ ตรงนี้สำคัญ อย่าลืมว่าเครื่องหมายการค้ามีวันหมดอายุ ดังนั้นต้องต่ออายุทุกๆ 10 ปี ด้วย

แหล่งอ้างอิง : www.ipthailand.go.th  กรมทรัพย์สินทางปัญญา 

สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<< 

หลักเกณฑ์การออกแบบเครื่องหมายการค้าที่ SMEs ควรรู้ 

คำภีร์ผู้ประกอบการมือใหม่ ถ้าไม่รู้ อย่าทำธุรกิจ