เหมือนอย่าง TraveliGo สตาร์ทอัพสายท่องเที่ยวที่มีจุดเริ่มต้นมาจากวงการ IT ประสบการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยของแต่ละสาขาวิชาชีพ กลับส่งเสริมพวกเขาได้อย่างลงตัว ซึ่ง TraveliGo มีไม้เด็ดอะไรในการประคับประคองให้ธุรกิจผ่านอุปสรรคและประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ คุณอนุพงษ์ เกรียงไกรลิปิกร Founder จาก TraveliGo จะมาไขข้อข้องใจให้ได้ทราบกัน
จุดเริ่มต้นของ TraveliGo ผู้มีประสบการณ์กว่า 10 ปีในวงการ IT
การเริ่มต้นของสตาร์ทอัพตัวนี้ เริ่มจากการที่ คุณอนุพงษ์ เกรียงไกรลิปิกร ได้ทำงานเกี่ยวกับด้านไอทีมาก่อน เปิดบริษัทที่รับทำเกี่ยวกับการจดโดเมน ให้เช่าพื้นที่ทางอินเตอร์เน็ต ที่มีประสบการณ์กว่า 10 ปี
“คือตอนที่ทำบริษัทแรกทำเกี่ยวกับด้านไอที รับทำเกี่ยวกับเว็บไซต์ ต่อมาก็เปิดอีกบริษัทหนึ่ง ชื่อ เสิร์ชเอ็นจินอ็อปทิไมเซชั่น ซึ่งรับให้บริการเกี่ยวกับ Online Marketing และเริ่มเล็งเห็นว่าธุรกิจท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศไทย จึงมาคิดว่าเราทำอะไรได้บ้างทางด้านการท่องเที่ยว จึงทำตัว TraveliGo ขึ้นมา”
ก่อนจะเปิดให้ใช้งาน ต้องมั่นใจว่าธุรกิจสามารถสร้างรายได้ด้วยตัวมันเอง
“เราวางตัวเองว่าเราจะเป็น OTA (Online Travel Agency) ก่อนที่เราจะเปิดให้บริการอะไร จะต้องมีของที่จะขายก่อน เราก็เลยเริ่มเก็บข้อมูลโรงแรม เพราะว่าโรงแรมที่เราเก็บข้อมูลตอนนี้มีประมาณ 600,000 โรงแรมทั่วโลกที่อยู่ในระบบเรา คือเราเริ่มเก็บทีละนิด เริ่มตั้งแต่การวางแผนเลย เราต้องสร้างโลกของเราขึ้นมาก่อน ประมาณว่าโลกจริงๆ ของเรามีประเทศอะไรบ้างที่เราจะขาย จากนั้นเราต้องย่อยออกมาว่ามันมี City มี Area อะไรบ้าง เพราะว่าพฤติกรรมผู้บริโภคธุรกิจท่องเที่ยว เวลาเขา Search ข้อมูล เขาจะ Search ข้อมูลยิบย่อยมาก อย่างบางคนก็จะ Search ข้อมูลประมาณว่ามีโรงแรมใกล้สถานี BTS ไหม สิ่งเหล่านี้เราต้องเก็บใน Area เพราะฉะนั้นตอนที่เราวาง Plan ก็คือศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค และวางระบบ ก็คือเขียน Software มา วางแผนตรงนั้นประมาณ 5 ปี และเริ่มใส่ข้อมูลเข้าไป”
บริการของ TraveliGo ครอบคลุมถึงอะไรบ้าง
“ตอนนี้ TraveliGo มีบริการอยู่ทั้งหมด 6 ตัว คือ จองโรงแรม จองตั๋วเครื่องบิน จองรถเช่า ทัวร์และ Ticket ส่วน Ticket ของเรา ก็จะแบ่งออกเป็นบัตรเข้าสวนสนุก และ Sport Ticket คือพวกฟุตบอลลีกต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น พรีเมียร์ลีก สมมติว่าอยากดูลิเวอร์พูลกับแมนยูฯ สามารถซื้อผ่านเว็บไซต์ได้ โปรดักส์สุดท้ายก็จะเป็น ประกันการเดินทาง”
สตาร์ทอัพตัวเล็กๆ ที่เอาชนะบริษัทยักษ์ใหญ่ในสเกลที่เท่ากัน
แต่เพราะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในบ้านเรามีบริษัทยักษ์ใหญ่ครองตลาดอยู่ก่อนแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Agoda, Booking หรือ Traveloka ซึ่งนับเป็นคู่แข่งแถวหน้าของ TraveliGo ที่ต้องเอาชนะให้ได้ตลอดระยะเวลา 2 ปี 8 เดือนที่ผ่านมา
“อย่างเราเป็น Online Travel Agent ในตลาดก็จะมีเจ้าตลาดอยู่ ก็คือจะมีพวก Agoda Booking Traveloka สิ่งที่เป็นอุปสรรคของเราคือเรื่องของการขอราคาโรงแรม จะเป็นเรื่องยากถ้าคุณเป็นเจ้าใหม่ ฉันไม่รู้จัก ฉันไม่ให้ราคา สิ่งนี้คืออุปสรรคที่เราเจอ
แต่ถ้าพูดถึงเรื่องอื่นอย่างตั๋วเครื่องบิน เราคิดว่าเราไม่มีอุปสรรคเลยเพราะว่าตอนนี้เราเป็น BSP (Billing and Settlement Plan) ของ IATA เราสามารถออกตั๋วเครื่องบินเองได้ ราคาเราก็จะได้ราคาที่ถูกสุดๆ รู้สึกว่าตั๋วเครื่องบินเราแข่งได้ ส่วนตัวโรงแรมต้องใช้เวลา ถ้าโรงแรมที่เขารู้จักเราแล้ว เขาก็จะให้ราคาเรา ก็จะได้ราคาที่เหมือนต้นทุนเท่ากันก็จะแข่งกันง่ายหน่อย”
ประสบการณ์กว่า 10 ปี ในวงการ Search Engine เรื่องการตลาดออนไลน์เป็นงานถนัด
“Product อย่างโรงแรมมี 600,000 โรงแรม สมมุติจะไปแข่งกับพวกเจ้าตลาด เราก็ไม่มีเงินโฆษณาเยอะเท่าเขา อย่าง OTA เจ้าอื่นงบโฆษณาเขาเดือนละ 30 ล้านบาท อย่างเราใช้งบโฆษณาเดือนละ 100,000 บาท ต่างกันไม่รู้กี่เท่า อย่างปีที่แล้วยอดขายเราได้ 57 ล้าน ก็ถือว่าน้อยมากถ้าเทียบกับคนอื่นเพราะ ยอดขายของเขาเป็นหลักหมื่นล้าน แต่ถ้าเทียบกับอัตราส่วนที่ลงไปก็ถือว่าโอเค เราคิดว่าเราลงทุนเดือนละ 100,000 เราทำยอดขายได้ขนาดนี้ก็ถือว่าโอเค ซึ่งในปัจจุบันเรากำลังทำ AI อยู่ เราพัฒนา Chat Bot ขึ้นมา เพื่อจะช่วยให้ลูกค้า Chat กับ Robot โดยไม่ต้องใช้คนในการโต้ตอบ ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าเขาอยากจองตั๋วเครื่องบิน แค่พิมพ์เข้าไปว่าต้องการจองตั๋วเครื่องบิน ไปที่ไหน และราคา ช่วงวันที่เท่าไหร่ Robot จะทำการนำตัวที่น่าสนใจที่สุดขึ้นมาให้ลูกค้าเลือก ก็คือเรากำลังทำตัวนี้อยู่”
เริ่มหยิบจับงานถนัดแค่เพียง 1 ชิ้น คือคำแนะนำจาก TraveliGo
“ปัญหาของ Startup โดยประสบการณ์ของผมมันค่อนข้างจะฟุ้งไปหน่อย ฟุ้งในที่นี้หมายความว่า ทำธุรกิจท่องเที่ยวแล้วผมไม่ได้โฟกัสที่โปรดักส์ใดโปรดักส์หนึ่ง คือผมเริ่มทำทีเดียว 6 โปรดักส์ แต่ถ้าไปดูของคนอื่น เค้าเริ่มทำตั๋วเครื่องบิน อย่างเดียวแล้วค่อยมาเริ่มโรงแรม มันทำให้พอเราทำ 6 ตัว เราใช้เวลานานไปหน่อยกับการพัฒนาขึ้นมา เสียเวลากว่าจะพัฒนาเสร็จ กว่าจะทำการตลาดอีก ต้องเรียกว่าหว่านหลายๆ ตัว มันทำให้รู้สึกว่าเราควรจะโฟกัสในสิ่งที่เราเห็นว่ามันเป็นตัวที่ทำกำไรให้เรามากที่สุดก่อน
อยากจะแนะนำว่าถ้ามีไอเดียอะไรและคิดว่ามันเจ๋ง ให้ตั้งใจทำให้ดีที่สุดก่อน อย่าไปทำนู่นทำนี่เพิ่มโดยที่มันไม่ค่อยจำเป็น มันจะทำให้เราเสียเวลา” คุณอนุพงษ์ ทิ้งท้าย
Bangkok Bank SME เราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ
สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพ คลิก หรือสายด่วน 1333