ไฮไลท์ :
ช่วง 4-5 ปีมานี้ ธุรกิจท่องเที่ยวถือเป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตไม่น้อยกว่าปีละ 8-10% ทำเงินให้ประเทศมากกว่า 2 ล้านล้านบาทในปี 2559 และปีนี้คาดว่าจะสร้างรายได้ให้ประเทศมากกว่า 2.76 ล้านล้านบาท โลกหมุนเร็วขึ้นธุรกิจท่องเที่ยวต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ท่ามกลางการแข่งขันที่สูง ดังนั้น ทุกธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ต้องหาตัวช่วยเพื่อการก้าวกระโดดขึ้นสู่การเป็นผู้นำ การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยน่าจะเป็นเครื่องมือที่จะเหมาะกับโลกสมัยใหม่ที่กำลังเปลี่ยนแปลง เครื่องมือที่จะทำให้ธุรกิจหรือฝันเป็นจริง และเอาชนะคนอื่นได้ ที่ทุกคนพยายามที่จะเป็น และค้นหาวิธีเพื่อไปสู่การเป็นผู้นำคือ การเป็น‘Startup – สตาร์ทอัพ’
เมื่อ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ประกาศเดินหน้าปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน หรือ Amazing Thailand Year 2018 ตั้งเป้าปี 2561 ท่องเที่ยวจะสร้างรายได้ทั้งจากนักท่องเที่ยวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงขึ้นจากปี 2560 อีก 10 % หรือสร้างรายได้ประมาณ 3.03 ล้านล้านบาท
ดังนั้น เพื่อขอแบ่งเค้กการท่องเที่ยว แชร์เม็ดเงินมหาศาล สตาร์ทอัพท่องเที่ยวต้องคิดได้ก่อน เพื่อรวบรวมข้อมูลป้อนกลุ่มนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยวด้วยตนเองที่กำลังมีมากขึ้น สตาร์ทอัพด้านการท่องเที่ยว ต้องสามารถรองรับความต้องการเฉพาะ ความไม่แน่นอน ความยืดหยุ่นของตารางเวลา ความไม่มีเวลา หรือความที่ไม่มีข้อมูลในใจว่าอยากไปที่ไหน ตัวอย่างเช่น สำหรับบางคนที่ต้องรับประทานอาหารประเภทเฉพาะ หรือ กลุ่มครอบครัวใหญ่ อยากทำกิจกรรมเฉพาะอย่าง ทั้งหมดต้องตอบโจทย์ได้
[caption id="attachment_17253" align="aligncenter" width="700"] กราฟิก 1 ค่าเฉลี่ยประเภทรายจ่ายจากการท่องเที่ยวต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2559[/caption]
[caption id="attachment_17254" align="aligncenter" width="700"] กราฟิก 2 เปรียบเทียบสัดส่วนการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวไทย ย้อนหลัง 3 ปี[/caption]
ดร.ธีรศานต์ สหัสสพาศน์ คณะทำงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า เนื่องจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เป็นธุรกิจที่หอมหวาน มีอัตราการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากการสนับสนุนของภาครัฐในการเพิ่มแหล่งท่องเที่ยวให้มากขึ้น รองรับการเข้ามาท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ดังนั้น สตาร์ทอัพท่องเที่ยว หรือ ทราเวลเทค (TravelTech) คือกลุ่มที่สร้างโอกาส เพิ่มอัตราการเติบโตให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว กลุ่มที่ทำให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงการท่องเที่ยวของไทย
'ทราเวลเทค' ในประเทศไทย ถือว่ายังใหม่มาก ยังมีโอกาสหอมหวานไม่ต่างจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น แต่ ทราเวลเทค หรือ สตาร์ทอัพด้านการท่องเที่ยว สอดคล้องกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ถือ เป็นธุรกิจที่ใหม่ทางกฎระเบียบทางการยังไม่เอื้อต่อการพัฒนา อาจเกิดจากความไม่เข้าใจเทคโนโลยี หรือ รู้ไม่เท่าทันเทคโนโลยี ของหน่วยงานกำกับดูแล จึงน่าจะเป็นอุปสรรคอย่างเดียวที่ทำให้สตาร์ทอัพเมืองไทยไม่เติบโต
”สตาร์ทอัพท่องเที่ยวเมืองไทย พร้อมนำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนา เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจท่องเที่ยว แต่กลุ่มสตาร์ทอัพจะเติบโตได้ ต้องมีฐานข้อมูลทั้งเรื่องของพื้นที่ อาทิ กฎระเบียบ แหล่งท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยว ซึ่งต้องขอจากภาครัฐ และความจริงของข้อมูลการท่องเที่ยวของไทย ที่ภาครัฐ ไม่อัพเดท เอกชนนำไปใช้งานจริงไม่ได้” ดร.ธีรศานต์กล่าว
ดร.ธีรศานต์ กล่าวด้วยว่า ปี 2559 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เชิญสตาร์ทอัพด้านการท่องเที่ยวมาหารือเกี่ยวกับการพัฒนาสตาร์ทอัพ เพื่อผลักดันการท่องเที่ยวของประเทศ จำนวนกว่า 100 ราย แต่เมื่อคัดแล้วเหลือประมาณ 30 กว่ารายเท่านั้นที่คิดว่า น่าจะเป็นสตาร์ทอัพที่ ช่วยผลักดันการท่องเที่ยวของประเทศให้โตได้จาก 1 เป็น 2 จาก 2 เป็น 4 หรือโตแบบก้าวกระโดด ซึ่ง ภาครัฐต้องเข้าใจจริงๆ ว่าสตาร์ทอัพคืออะไร เพราะปัจจุบันในเมืองไทย สตาร์ทอัพยังมีไม่มากนัก แต่มีหลายรายที่ต้องการการสนับสนุนจากทางการในเรื่องของการเอื้อในเรื่องกฎระเบียบ
ด้านนายนพพล อนุกูลวิทยา ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์เทคมี ทัวร์ หรือ TakeMeTour (เทคมี ทัวร์) เว็บไซต์ประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพด้านการท่องเที่ยว กล่าวว่า เทคมี ทัวร์ สตาร์ทอัพด้านการท่องเที่ยวในการหาไกด์ท้องถิ่นพาเที่ยวในพื้นที่ เป็นธุรกิจที่กำลังได้รับความนิยมในแถบเอเชีย โดยการสร้างแพลตฟอร์มให้คนในพื้นที่จัดทริปนำเที่ยว 1 วัน จากข้อมูลพบว่า 21 ล้านคนคือ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยแบบไม่ใช้แพกเกจทัวร์ หรือ นักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยตนเอง ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี สะท้อนให้เห็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ต้องการศึกษาวิถีชีวิตของคนในพื้นที่นั้นๆ หรือเรียกว่า “โลคัล เอ็กซ์พีเรียน” โดยไกด์ในพื้นที่จะเชื่อมโยงเรื่องราวของตนเองและคนในพื้นที่เข้าไว้กับการท่องเที่ยว
เทคมี ทัวร์ เปิดทำธุรกิจมาประมาณ 2 ปี ขณะนี้มีทริปครอบคลุม 50 จังหวัดทั่วประเทศไทย ทริปทัวร์ 600 ทัวร์เดือน มีคนพาเที่ยวจำนวน 1,500 คน มีอัตราการเติบโตมากกว่า 10 เท่า/ปี สตาร์ทอัพท่องเที่ยวของไทยไม่ได้แข่งขันกับสตาร์ทอัพคนไทย แต่แข่งขันกับสตาร์ทอัพจากทั่วโลกที่พาเหรดเข้ามาแบ่งเค้กอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในเมืองไทย ต้องอธิบายตามตรงในไทยสตาร์ทอัพด้านการท่องเที่ยวมีน้อยมาก ตลาดนี้จึงยังมีโอกาสมากสำหรับคนไทย สตาร์ทอัพสัญชาติไทย เพราะตลาดสตาร์ทอัพท่องเที่ยว ส่วนใหญ่เป็นสตาร์ทอัพต่างชาติ ที่มองเห็นการเติบโตของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในเมืองไทยเป็นโอกาส ตลาดท่องเที่ยวของประเทศไทยใหญ่มาก การใช้จ่ายต่อหัวสูงมาก สูงอันดับต้นๆของภูมิภาค ทำให้การเป้าหมายของสตาร์ทอัพต่างชาติ
หากให้ประเมินเบื้องต้นอุตสาหกรรมด้านการท่องเที่ยวที่เติบโตผ่านสตาร์ทอัพ น่าจะมีมูลค่าประมาณ 6 หมื่นล้านบาท และโอกาสเติบโตยังมีต่อเนื่องตามสัดส่วนนักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวเอง เริ่มโตสวนทางกรุ๊ปทัวร์
สำหรับอุปสรรคสตาร์ทอัพด้านการท่องเที่ยว คงหนีไม่พ้นเรื่องของผู้กำกับดูแลกฎระเบียบ คือหน่วยงานภาครัฐ ไม่ต่างอะไรกับในต่างประเทศในช่วงที่สตาร์ทอัพเกิดใหม่ๆ กฎระเบียบก็ตามไม่ทัน สตาร์ทอัพเป็นเทรนด์ใหม่ของทุกอุตสาหกรรม เมื่อเทคโนโลยีพาสตาร์ทอัพเติบโตได้เร็ว ทำให้กฎระเบียบ การกำกับดูแลเติบโตไม่ทัน ดังนั้นภาครัฐผู้คุมระเบียบปฏิบัติต้องปรับตัวเช่นกัน เพื่อไม่ให้กฎระเบียบที่มันตามไม่ทันธุรกิจ มาทำให้ธุรกิจที่กำลังจะเติบโต สะดุดลง
ประเทศไทยจะฝากความหวังไว้กับ สตาร์ทอัพ ภาครัฐคงต้องทำความเข้าใจ เพิ่มความยืดหยุ่น พร้อมในการทบทวนกฎระเบียบต่างๆ เพราะการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีทำให้กฎเกณฑ์บางอย่างไม่จำเป็น ถ้าไม่มีการทบทวน อาจทำให้สตาร์ทอัพท่องเที่ยว ไม่สามารถขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้
Bangkok Bank SME เราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพ คลิก หรือสายด่วน 1333