แม้การจ้างงานอาจลดลงอันเป็นผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ซบเซาและการซ้ำเติมของโควิด
19 แต่อาจไม่กระทบต่อภาพรวมค่าจ้างในประเทศที่จะเพิ่มสูงขึ้น แม้จะไม่มากก็ตามที
โดยจากข้อมูลระบุถึง เงินเดือนในประเทศไทยถูกคาดการณ์ว่าจะมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นในปี
2564
แม้ยังเกิดผลกระทบทางการเงินจากสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยบริษัทต่างๆ
ในภาพรวมคาดการณ์จัดสรรงบประมาณเพื่อขึ้นเงินเดือนที่อัตรา 5% จากผลการสำรวจช่วงครึ่งแรกของปี 2563
หากการสำรวจเชิงลึกชี้ว่าค่ากลางจะอยู่ที่ 3%
ข้อมูลข้างต้นมาจากผลการสำรวจอัตราค่าตอบแทนรวมในประเทศไทยประจำปี 2563 (An-nual Thailand Total Remuneration Survey (TRS) 2020) โดยเมอร์เซอร์ (Mercer) บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำทางด้านทรัพยากรบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการบริหารจัดการพนักงาน ค่าตอบแทนและสวัสดิการสำหรับพนักงาน การเกษียณอายุ และการลงทุน โดยการสำรวจมีบริษัทเข้าร่วมทั้งหมด 577 บริษัทจากในอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศไทยระหว่างเดือนเมษายนและมิถุนายนของปีนี้ และได้ดำเนินการสำรวจเพิ่มเติมในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม เกี่ยวกับสภาพการณ์ตลาดที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
นายพิรทัต ศรีสัจจะเลิศวาจา Career Products Business Leader บริษัท
เมอร์เซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า เมื่อพิจารณาถึงความสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
บริษัทต่างๆ มีการตรวจสอบและทบทวนงบประมาณสำหรับการขึ้นเงินเดือนอย่างระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
โดย 2 ใน 5
ของบริษัทที่เข้าร่วมการสำรวจระบุว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลกระทบต่ออัตราการขึ้นค่าตอบแทนปี 2563 ที่บริษัทวางแผนไว้อย่างมีนัยสำคัญ
โดยอัตราการขึ้นเงินเดือนที่ประมาณการไว้นี้เกิดขึ้นจากภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ถดถอย โดยคาดว่าผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) จะลดลง 7.8% ในปี 2563 แม้มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้น 3.5% ในปี 2564 ก็ตาม หากอนาคตก็ยังคงไม่แน่นอน
เพิ่มเงินเดือนต่ำลงครั้งแรกในรอบทศวรรษ
ในขณะที่บริษัทเพียง 22 บริษัทจาก 577
แห่งที่ร่วมการสำรวจครั้งนี้ รายงานว่าไม่มีการขึ้นเงินเดือนในปี 2563 ค่ากลางของอัตราการขึ้นเงินเดือนของปี 2563
ปรับลดลงอยู่ที่ 3.7%
เมื่อเปรียบเทียบกับที่ตั้งงบประมาณไว้ที่ 4.8% จึงถือเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษที่อัตราการขึ้นเงินเดือนต่ำกว่า
5% ซึ่งผลกระทบนี้แตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรม
การขึ้นเงินเดือนในอุตสาหกรรมบางประเภท
เช่น อุตสาหกรรมไฮเทค ยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิต และอุปกรณ์การโลจิสติกส์
มีอัตราการขึ้นเงินเดือนสูงกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวม เนื่องจากลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมนั้นๆ
โดยอุตสาหกรรมไฮเทคนั้นมีอุปสงค์เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงาน
(New way of work) ในขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์นั้นมีสหภาพแรงงานที่แข็งแกร่ง
จึงทำให้อัตราการขึ้นเงินเดือนยังอยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค
ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากการหดตัวของการใช้จ่ายภาคครัวเรือน
มีอัตราการขึ้นเงินเดือนน้อยที่สุดที่ 2.5%
ปี 2564 โบนัสอาจลดลง
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาโดยรวม
โบนัสตามงบประมาณยังเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 2.3 เท่าของเงินเดือน เมื่อเปรียบเทียบกับ 2.2
เท่าของเงินเดือนในปี 2562
โดยอุตสาหกรรมไฮเทคและเคมีภัณฑ์ยังคงมีอัตราสูงสุด โดยมีบริษัทเพียง 5% ของบริษัทที่เข้าร่วมการสำรวจที่ไม่มีการให้โบนัส
แนวโน้มในอนาคตอันใกล้ 28% ของบริษัทที่เข้าร่วมการสำรวจ คาดว่าการจ่ายโบนัสในปี
2564 จะน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ในขณะที่ 39% ยังไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องของโบนัสได้ ณ ขณะนี้ และมีบริษัทเพียง 5% ที่คาดว่าจะเพิ่มงบประมาณสำหรับโบนัสในปี 2564
นายจักรชัย บุญยะวัตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมอร์เซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า
หากพิจารณาในทุกแง่มุม บริษัทต่างๆ ยังคงอยู่ในสถานะของการเฝ้าจับตาและรอคอย
โดยเฝ้าติดตามและตรวจสอบสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด ไปพร้อมทบทวนกลยุทธ์การจ่ายค่าตอบแทนของบริษัทในปี
2564 โดยบริษัทส่วนใหญ่มีมุมมองต่อการจ้างงานในเชิงบวก โดยเฉพาะในตำแหน่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อธุรกิจและงานที่ไม่สามารถแทนที่ได้ด้วยเทคโนโลยีหรือปัญญาประดิษฐ์
(AI) ภายใต้สถานการณ์ที่ยังคงไม่แน่นอนในปีนี้
กลับมีธุรกิจที่เพิ่มจำนวนพนักงานมากกว่าธุรกิจที่พยายามลดพนักงาน
ภายในสิ้นปี 2563 บริษัทกว่า 23%
ที่ร่วมทำการสำรวจครั้งนี้จะมีการเพิ่มพนักงานใหม่ โดยมี 19%
ที่ระบุถึงแผนการสรรหาพนักงานในปี 2564
ในขณะที่อนาคตยังคงแขวนอยู่บนความไม่แน่นอน
บริษัทต่างมีความกังวลต่องบประมาณทางด้านบุคลากร
เมอร์เซอร์สนับสนุนให้บริษัทใช้เวลาและพิจารณาแผนการจ่ายค่าตอบแทนให้กับพนักงานแบบองค์รวมมากยิ่งขึ้น
บริษัทควรใช้โอกาสนี้ทบทวนกลยุทธ์การจ่ายค่าตอบแทนแบบองค์รวมและมองให้ละเอียดกว่าการจ่ายค่าตอบแทนเป็นตัวเงินเพียงอย่างเดียว โดยพิจารณาถึงคุณภาพชีวิตโดยรวมของพนักงานให้พัฒนาทั้งความก้าวหน้าในอาชีพ และมีสุขภาพกายและใจที่ดี ความผูกพันของพนักงานที่มีต่อบริษัท และการรักษาพนักงานให้อยู่กับบริษัท จะกลายเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าที่เคย บนเส้นทางแห่งการฟื้นฟูธุรกิจของบริษัท