เมื่อเร็วๆ นี้ สมาคมทีวีโฮมช้อปปิ้ง
(ประเทศไทย) เปิดเผยภาพรวมธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้งในประเทศไทย
ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยกำลังซื้อหลักมาจากกลุ่ม Baby Boomer (เบบี้บูม) ที่กำลังขยับไปสู่การช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น
ปี 2561 ภาพรวมธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้งมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 13,823 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 15.5% ปัจจัยสำคัญมาจากมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้าสู่ตลาด อาทิ Workpoint, Amarin RS และผู้ประกอบการทีวีช่องอื่นๆ ที่เริ่มเข้ามาทำธุรกิจทางด้านนี้ สะท้อนว่าธุรกิจทีวีช้อปปิ้งยังมีอนาคตที่ดีและมีกลุ่มลูกค้าที่เหนียวแน่น รวมถึงไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขยายตัวของธุรกิจอี-คอมเมิร์ชในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากจับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน เช่น อายุ พื้นที่ในแต่ละภูมิภาค ฯลฯ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
ขณะที่ภาพรวมธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้งในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้
(มกราคม – มิถุนายน 2562) มีอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวลง โดยมีมูลค่าตลาดรวม 7,351ล้านบาท เติบโต 12.11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
โดยมูลค่าตลาดรวมดังกล่าวแบ่งเป็นธุรกิจ ‘ทีวีช้อปปิ้ง’ 4,243 ล้านบาท เติบโตประมาณ 8% และธุรกิจ ‘โฮมช้อปปิ้ง’ มีมูลค่าตลาด 3,107 ล้านบาท เติบโตประมาณ 14% ปัจจัยที่ตลาดเติบโตชะลอตัวมาจากภาพรวมเศรษฐกิจครึ่งปีแรกของปีนี้มีอัตราเติบโตลดลง
ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคชะลอการจับจ่ายใช้สอยเลือกซื้อสินค้า
นายทรงพล ชัญมาตรกิจ นายกสมาคมทีวีโฮมช้อปปิ้ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้งในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ (กรกฎาคม – ธันวาคม 2562)
สมาคมฯคาดการณ์จะมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 6,983 ล้านบาท
ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มชะลอตัวจากปัจจัยลบภายในและภายนอก
ส่งผลให้กำลังซื้อผู้บริโภคน่าจะยังไม่ฟื้นตัว
นอกจากนี้ยังมีผลกระทบจากการที่ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลทั้ง 7 ช่อง
ทยอยคืนช่องแก่ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีครัวเรือนที่ติดตั้งอุปกรณ์รับชมรายการโทรทัศน์ทั้งสิ้นประมาณ
21.71 ล้านครัวเรือน (ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 98.1% จากทั้งหมด 22.13 ล้านครัวเรือน
ขณะที่ ‘ทีวีดาวเทียม’ เป็นช่องทางรับชมที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น โดยในปีที่ผ่านมามีสัดส่วนการรับชมอยู่ที่ 53.26%เทียบกับปีก่อนอยู่ที่ 50.7% ขณะที่การรับชมทีวีดิจิทัลและเคเบิ้ลทีวีมีสัดส่วนลดลงเล็กน้อย
ปัจจุบันเทรนด์ผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าทางทีวีช้อปปิ้งและโฮมช้อปปิ้งมีการเปลี่ยนแปลงไป
โดยเป็นการผสมผสานกับระหว่าง Shopping
Experience และ Shopping Journey ต้องการความสะดวกสบาย
รวดเร็วและตรงกับความต้องการ เนื่องจากผู้บริโภคได้ยกระดับสู่การเป็น ‘Prosumer’ (Professional + Consumer)
ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น จึงมีการศึกษาข้อมูลสินค้า
เปรียบเทียบราคาและโปรโมชั่น
และต้องการเลือกซื้อสินค้าในช่องทางที่ได้ราคาที่ดีที่สุด
ขณะที่การเติบโตของธุรกิจ อี-คอมเมิร์ช และโซเชียล คอมเมิร์ช
มองว่าเป็นผลบวกให้กับทีวีโฮมช้อปปิ้ง เพราะถือว่าเป็นกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่ได้เจอ
(White Space) โดยธุรกิจทีวีช้อปปิ้งมีฐานลูกค้าใหญ่คือ กลุ่ม Baby Boomer ที่เกิดในปี 2489– 2507 และ Gen X ที่เกิดในปี 2508 – 2522 ซึ่งยังมีพฤติกรรมรับชมทีวีเป็นสื่อหลัก
และกำลังปรับตัวเข้าสู่การสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ ตามลำดับ
อย่างไรก็ตามการขยายตัวของธุรกิจอี-คอมเมิร์ช และโซเชียล คอมเมิร์ช
ส่งผลดีต่อภาพรวมธุรกิจค้าปลีกแบบไม่มีหน้าร้าน
เนื่องจากผู้บริโภคกล้าทดลองสั่งซื้อโดยไม่ได้สัมผัสสินค้า
ส่งผลให้ผู้ประกอบการทีวีช้อปปิ้งมีฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนี้การดำเนินธุรกิจทีวีช้อปปิ้งที่อยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยงานภาครัฐ เช่น สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และกสทช. ฯลฯ ส่งผลให้ไม่สามารถโฆษณาสรรพคุณสินค้าเกินจริง มีผลดีต่อความมั่นใจของผู้บริโภคต่อการเลือกซื้อสินค้าผ่านทีวีช้อปปิ้ง
สำหรับภาพรวมเทรนด์สินค้าซึ่งจะเป็นที่ต้องการในอนาคต ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้านวัตกรรมที่เหมาะกับผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ของประเทศไทยจากสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (อีโค่ โปรดักต์) ที่คาดว่าจะมีบทบาทต่อการดำเนินธุรกิจมากขึ้น รวมถึงกลุ่มสินค้าด้านอาหารที่กำลังเติบโตพร้อมกับการขยายตัวของอุตสาหกรรมบริการด้านโลจิสติกส์