นับจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กระทบเศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึง "เวียดนาม" ซึ่งเป็นหนึ่งประเทศที่ต้องประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ระหว่างวันที่
1- 23 เมษายน 2563 ซึ่งมีการประเมินว่าจะส่งผลให้จีดีพีของเวียดนามเติบโต 3.8% (จากเดิมประมาณไว้ที่ 6.8) ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
คาดการณ์ว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพีของเวียดนามจะขยายตัวเพียงประมาณ
2.7% ดังนั้นรัฐบาลเวียดนามจึงให้ความสำคัญมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากโควิด-19
อย่างมาก
ล่าสุดเมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2563 ที่ประชุมสภานิติบัญญัติเวียดนาม ได้อนุมัติให้สัตยาบันความตกลงการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรปและเวียดนาม หรือ EU-Vietnam Free Trade Agreement : EVFTA ด้วยคะแนนเสียงสนับสนุน 94.62% เนื่องจากรัฐบาลมุ่งหวังว่าความตกลงนี้จะเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นภาคการผลิตและการส่งออกของประเทศ ในช่วงเวลาที่เวียดนามกำลังพยายามฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
สำหรับความตกลงฉบับนี้ทางเวียดนามและสหภาพยุโรปได้มีการลงนามความตกลงไป
ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2562 หรือเป็นเวลา 1 ปี ที่กรุงฮานอย โดยก่อนหน้านี้ทางสหภาพยุโรปได้ให้สัตยาบันความตกลงไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
2563 และเวียดนามเพิ่งจะผ่านความเห็นชอบในการให้สัตยาบันดังกล่าว
ทั้งนี้หลังจากสองฝ่ายให้สัตยาบันร่วมกันแล้ว
ความตกลง EVFTA จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563
มีผลให้สหภาพยุโรปจะเริ่มลดภาษีให้กับสินค้านำเข้าจากเวียดนาม 85% ของอัตราภาษีสินค้าของเวียดนาม และจะยกเลิกภาษีทั้งหมดภายใน 10 ปี
โดยผลการลงนามความมตกลงฉบับนี้ ทำให้เวียดนามเป็นประเทศที่
2 ในอาเซียนที่มีความตกลงเอฟทีเอแบบทวิภาคีกับสหภาพยุโรป
นอกเหนือไปจากความตกลงเอฟทีเอ สหภาพยุโรป-สิงคโปร์
โดยตามข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม ระบุว่า
เวียดนามเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 2 ของสหภาพยุโรป
กับกลุ่มประเทศอาเซียน โดยมีมูลค่าการค้าที่ 56,450
ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเวียดนามส่งออก 41,540 ล้านเหรียญสหรัฐ
และนำเข้าจากสหภาพยุโรป 14,900 ล้านเหรียญสหรัฐ ได้ดุลการค้า
26,640 ล้านเหรียญสหรัฐ
และภายหลังจากความตกลง EVFTA
มีผลบังคับใช้จะทำให้การส่งออกเวียดนามไปยังสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้น 42.7% ใน 2568 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า
และจะช่วยให้มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 4.6%
นายไมเคิล ซีเบิร์ก
ที่ปรึกษาด้านธุรกิจและการเงินจาก YCP Solidiance บริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจและการเงิน ความตกลง EVFTA เป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนการผลิตของเวียดนาม ถือเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
จะทำให้นักลงทุนสหภาพยุโรปที่กำลังเสาะหาแหล่งลงทุนมองเวียดนามมากขึ้น จากปี 2562 ที่มีเม็ดเงินลงทุนโดยตรงมาจากต่างประเทศ (FDI) มูลค่า
38,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่ง 2 ใน 3 ของการลงทุนอยู่ในภาคการผลิต
โดยไม่เพียงจะให้สัตยาบัน EVFTA
เท่านั้น
แต่ที่ประชุมสภานิติบัญญัติยังได้ให้สัตยาบันความตกลงเกี่ยวกับการปกป้องนักลงทุน
ให้บริษัทของสหภาพยุโรปได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกับบริษัทท้องถิ่นในการแข่งขันประมูลสัญญาของรัฐในเวียดนาม
และยังมีการเข้าร่วมอนุสัญญาฉบับที่ 105
ว่าด้วยการยกเลิกแรงงานบังคับซึ่งเป็น 1 ใน 8 อนุสัญญาขั้นพื้นฐานขององค์การแรงงานสากล (ILO) ที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับการปกป้องคุ้มครองสิทธิแรงงาน
ซึ่งจะทำให้เวียดนามพัฒนามาตรฐานสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนตามเป้าหมายของสหประชาชาติในปี
2573
ทั้งนี้มีความเป็นไปได้สูงว่าหลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย เศรษฐกิจของเวียดนามได้รับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว จะส่งผลให้ในปีนี้ GDP ของเวียดนามจะสูงที่สุดในอาเซียน ในขณะที่ GDP ปี 2563 ของไทยซึ่งมีการประเมินว่าจะติดลบที่ร้อยละ 8 ซึ่งนับเป็นโอกาสที่เศรษฐกิจโดยรวมของเวียดนามจะไล่หลังทันไทยได้ไม่ไม่ช้า และเป็นคู่แข่งทางการค้าที่น่ากลัว