‘ทำงานอยู่บ้าน ให้ได้งาน’ 5 แนวทางเพิ่ม Productivity ช่วง WFH
เชื่อว่าการต้องเปลี่ยนบรรยากาศจากการทำงานในออฟฟิศมาเป็น
Work
from home ต่อเนื่องกันนานๆ
บางครั้งอาจจะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ซึ่งอาจเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ
เช่น การแบ่งพื้นที่ทำงานและความเป็นส่วนตัวภายในบ้าน ความสงบระหว่างทำงาน
การมีส่วนร่วมของเพื่อนร่วมงานที่ลดลง เป็นต้น
ดังนั้นการทำงานอยู่บ้านให้ได้ (อารมณ์) ทำงานให้มีประสิทธิภาพ และที่สำคัญยังช่วยสร้างความสนุกในการทำงานอยู่บ้านได้อีกด้วย บทความนี้จึงขอมาแนะนำวิธีเพิ่ม Productivity ของงานแต่ละวันในช่วง Work from home กัน
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
1. Music for Work : ดนตรีช่วยให้การทำงานดีขึ้นได้
งานวิจัยหลายๆ ชิ้นระบุว่า เพลงที่มี ‘เสียงเบส’
เป็นท่วงทำนองหลักในเพลงซึ่งมีจังหวะหนักแน่น ช่วยกระตุ้นให้คุณมีพลังระหว่างการทำงาน
และสร้างอารมณ์ที่สนุกโดยเฉพาะงานด้านความคิด ความมั่นใจและความฮึกเหิมให้กับผู้ฟังได้
ขณะที่ ‘ดนตรีคลาสสิก’ เหมาะกับงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ ตัวโน๊ตดนตรีคลาสสิกช่วยกระตุ้นระบบภายในสมอง
ช่วยในเรื่องกระบวนการคิดและความจำได้ดีอีกด้วย ถึงตรงนี้คงเห็นประโยชน์จากการฟังเพลงบรรเลงกันบ้าง
หรือแม้แต่การฟัง ‘เพลงป็อป’ ยังช่วยให้ผู้ฟังรู้สึกผ่อนคลาย
สามารถลดความผิดพลาดในแง่การสะกดคำได้ถึง 14% ด้วยแต่ถ้าอยากให้งานเสร็จเร็วขึ้น
ควรเริ่มต้นจากฟังเพลงที่ทำให้อารมณ์ดีในทุกวันก่อนเริ่มต้นทำงาน
ยิ่งจะช่วยให้การทำงานในวันนั้นมี Productivity ดีขึ้น และคุณยังมีความสุขในระหว่างการทำงานด้วยเสียงเพลงเพราะๆ อีกด้วย
2. เซ็ตเวลาทำงานในแต่ละวัน :
ในการทำงานแบบ Work from home อาจจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง
เนื่องจากบ้านไม่ใช้สภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน
ดังนั้นต้องจัดระบบการทำงานตามเวลาในแต่ละวันอย่างเหมาะสม
ตลอดจนถึงการตั้งข้อกำหนดในการติดต่อสื่อสารต่างๆ ตัดเรื่องงานออกจากเรื่องส่วนตัว
ตัดกิจวัตประจำวันที่ไม่ใช่งานออกจากเวลางาน
และทางที่ดีแต่งตัวให้เหมาะสมสำหรับการเริ่มงานในแต่ละวัน
เพราะอย่าเห็นว่าไม่สำคัญ จากข้อมูลงานวิจัยระบุว่า การแต่งกายมีผลต่อการทำงาน
ดังนั้นแม้จะอยู่บ้านควรแต่งกายในเวลาทำงานอย่างเหมาะสม
3. กฎพื้นฐาน สำหรับผู้ที่อยู่อาศัย
: บางครั้งในบ้านหรือที่พักอาศัยเราอาจไม่ได้อยู่คนเดียว
แต่เป็นครอบครัวหรือหมู่คณะหรือกับรูมเมด แต่จะแบบไหนก็แล้วแต่ การทำงานในพื้นที่ที่มีคนทำกิจกรรมอย่างอื่นที่ไม่ใช่งาน
โอกาสที่เราจะต้องเบี่ยงเบนสมาธิไปสนใจสิ่งอื่นๆ จึงมีโอกาสเกิดขึ้นได้บ่อย
ดังนั้น จึงควรที่จะมีการตั้งกฎพื้นฐานให้ผู้ที่อยู่อาศัยร่วมกับคุณปฏิบัติ
ขณะที่คุณกำลังทำงานอยู่โดยเฉพาะช่วง Work from home หลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นเข้ามาภายในห้องทำงานขณะที่ยังอยู่ในเวลางาน,
มอบหมายการดูแลเด็กให้แก่ผู้สูงวัย, แนะนำกิจกรรมที่มีประโยชน์ให้พวกเขาได้ทำ
เป็นต้น
4. ปรับมุมทำงานบ้างเป็นระยะ
: ‘สถานที่ทำงาน’
มีส่วนสำคัญในด้านประสิทธิภาพของงาน ดังนั้นการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมและมุมทำงานเป็นระยะ
ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยเพิ่มโอกาสให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และประสิทธิภาพการทำงานได้ดีมากขึ้นพอสมควร
โดยอาจจะลองปรับง่ายๆ อย่างการย้ายที่นั่งทำงานจากห้องนั่งเล่นไปห้องอาหารบ้าง
แต่งมุมทำงานให้มีสไตล์เปลี่ยนไปบ้าง
แต่ที่สำคัญคืออย่าลืมจัดสิ่งของให้เป็นระเบียบอยู่เสมอ
ไม่ว่าจะนั่งทำงานอยู่ที่มุมไหน หรือแต่งสไตล์ไหนก็ตาม
เพราะไม่เพียงลดความเกียจคร้านที่อาจจะเพิ่มขึ้นโดยที่คุณไม่รู้ตัว
แต่ยังช่วยให้ทำงานได้ไว ไม่ต้องใช้ระยะเวลาในการค้นหาของหรือเอกสารมากจนเกินไป
5. นอน พักผ่อน ก็เพิ่ม Productivity
ได้ : การได้นอนพักระหว่างมื้ออาหาร
หรือในตอนบ่ายซักตื่นจะช่วยทำให้สมองคุณปลอดโปร่งมากขึ้น
ซึ่งอาจเป็นไปแทบไม่ได้เลยหากว่าคุณจะหาที่นอนพักผ่อนซัก 30
นาทีในช่วงเวลาทำงานในออฟฟิศปกติ แต่การ Work from home ย่อมไม่มีปัญหา หากคุณจัดสรรเวลาให้ดี
การนอนกลางวันทำให้หัวใจได้ผ่อนคลายไม่เสียความสมดุล
การนอนหลับกลางคืนช่วยซ่อมแซมตับฟื้นฟูตับ เพราะเมื่อเรานอนนิ่ง หลับสบาย เลือดจะไปรวมที่ตับเป็นส่วนใหญ่
ตับจะได้รับการฟื้นฟูที่ดี ดังนั้นช่วงกลางวันหลังมืออาหารควรหาเวลานอนพักซัก 30-60
นาทีต่อวัน จะช่วยให้คุณสดชื่น ทำงานงานได้ดี
และประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นแน่นอน
นอกจากวิธีเพิ่ม Productivity
ของงานแต่ละวันในช่วง Work from home ทั้ง 5
ข้อที่เราได้นำมาฝากในบทความนี้แล้ว ยังอาจลองวิธีอื่นเพิ่มเติมตามความเหมาะสม
เช่น เลี้ยงสัตว์หรือปลูกต้นไม้ เพื่อลดปัญหาสุขภาพจิต แบ่งเวลาเข้าร่วมคอร์สหรือเวิร์คช้อปเพิ่มเติมเมื่อมีเวลาว่างมากขึ้น
การหางานอดิเรกระหว่างวัน หรือแม้แต่การจัดสรรเวลาเพื่ออ่านหนังสือเล่มที่ชอบ
ก็มีส่วนช่วยให้การทำงานช่วง Work from home ของคุณราบรื่น
แถม Productivity เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ‘ความขี้เกียจ’ ซึ่งเป็นอาการด้านลบอย่างหนึ่งของคนทำงาน
ดังนั้นการที่จะ ‘สลัด’
ความขี้เกียจไม่ให้เกาะกินเวลาเราในช่วง Work from home สิ่งสำคัญคือ
‘ความหนักแน่น’
ถ้าใจเราไม่โอนเอนตาม อาการด้านลบที่เกิดขึ้นก็จะหยุดไปเอง
แต่หากอาการยังทวีความรุนแรงขึ้น จนถึงขั้นที่อาจทำให้งานแย่ลง ก็ควรหยุดมือก่อน
หาอย่างอื่นทำ หรือตั้งสติให้พร้อมสำหรับงานก่อน ค่อยลุยต่อ
อย่างแข็งขืนจนเกินไปนัก เพราะเราเป็นคน ไม่ใช่หุ่นยนต์ เกิดมาเพื่อใช้ชีวิต
ไม่ใช้เพื่อทำงานทั้งวัน