e-Commerce ถือเป็นปรากฏการณ์ ‘การซื้อ-ขายสินค้า’ ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงในเรื่องของรูปแบบการดำเนินชีวิต ทั้งในแง่ของผู้ซื้อ ผู้ขาย และการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมต่างๆ เป็นอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงแค่ประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในทั่วโลก ตลาดอีคอมเมิร์ซกลายเป็นเศรษฐกิจสำคัญที่เติบโตสูงขึ้นต่อเนื่องทุกปีและมีมูลค่ามหาศาล
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
7 ประเทศ
ตลาดอีคอมเมิร์ซใหญ่ที่สุดในโลก
1.) สาธารณรัฐประชาชนจีน
- มูลค่าการซื้อขายสินค้าออนไลน์ : 672 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- อีคอมเมิร์ซ คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดของอุตสาหกรรมค้าปลีก
: 15.9%
‘จีน’
ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอีคอมเมิร์ซ เป็นผู้ครองแชมป์ประเทศที่มีตลาดอีคอมเมิร์ซใหญ่ที่สุดในโลก
แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมาจากการสร้างอาณาจักรของบริษัทยักษ์ใหญ่ชื่อดังอย่าง
Alibaba Group ที่เป็นหัวเรือใหญ่และบริษัทแม่ของบริษัทด้านกับอีคอมเมิร์ซและเทคโนโลยีมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชื่อดังอย่าง Alibaba, Tmall และอื่นๆ โดยมีอัตราการเติบโตสูงถึงปีละ 35%
และแน่นอนว่านอกจากจะเป็นประเทศยักษ์ใหญ่แห่งอีคอมเมิร์ซที่หลายประเทศให้ความสนใจแล้ว
‘จีน’
ยังถือเป็นประเทศที่มีการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซที่รวดเร็วที่สุดในโลกอีกด้วย
2.) สหรัฐอเมริกา
- มูลค่าการซื้อขายสินค้าออนไลน์ : 340
พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- อีคอมเมิร์ซ คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดของอุตสาหกรรมค้าปลีก
: 7.5%
หลังจากเป็นผู้นำแห่งวงการอีคอมเมิร์ซมานานนับทศวรรษ
ตอนนี้สหรัฐอเมริกากลายเป็นผู้ครองความยิ่งใหญ่ของตลาดอีคอมเมิร์ซอันดับ 2 รองจาก ‘จีน’ ทั้งนี้วงการอีคอมเมิร์ซของสหรัฐฯ นั้น
นำโดยผู้บุกเบิกแห่งวงการอีคอมเมิร์ซอย่าง Amazon และ eBay ซึ่งสหรัฐฯ ถือเป็นประเทศที่มีการเติบโตของวงการอีคอมเมิร์ซที่เรียกได้ว่า
Healthy แทบทุกมิติ
เพราะเป็นต้นกำเนิดของหลากหลายนวัตกรรมที่เข้ามาช่วยพัฒนาวงการอีคอมเมิร์ซโลกให้ดีขึ้น
3.) สหราชอาณาจักร
- มูลค่าการซื้อขายสินค้าออนไลน์ : 99
พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- อีคอมเมิร์ซ คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดของอุตสาหกรรมค้าปลีก
: 14.5%
แม้เป็นตลาดที่มีขนาดไม่เท่า 2 ยักษ์ใหญ่ในอันดับ
1 และ 2 แต่สหราชอาณาจักรก็ยังคงเป็น Top 3
ของตลาดโลก นำโดย 3 แพลตฟอร์มยอดนิยมประจำประเทศอย่าง Amazon U.K., Argos และ Play.com และถึงมีมูลค่าทางการตลาดที่แตกต่างจาก
2 ยักษ์ใหญ่โลก
แต่ส่วนแบ่งทางการตลาดเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมค้าปลีกของประเทศนั้นไม่น้อยเลย
เพราะกินส่วนแบ่งได้ถึง 14.5% เป็นรอง ‘จีน’ เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น
4.) ญี่ปุ่น
- มูลค่าการซื้อขายสินค้าออนไลน์ : 79
พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- อีคอมเมิร์ซ คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดของอุตสาหกรรมค้าปลีก
: 5.4%
อันดับที่ 4 ผู้นำแห่งตลาด ‘เอ็มคอมเมิร์ซ’ หรือ m-Commerce (Mobile
Commerce) หรือจะเรียกว่าเป็นอนาคตแห่งอีคอมเมิร์ซก็ว่าได้
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเบอร์หนึ่งของญี่ปุ่นก็คือ Rakuten เรียกได้ว่า
ซึ่งนอกจากเป็นขาใหญ่ในประเทศบ้านเกิดแล้ว
ยังขยายอาณาจักรไปสู่หลายประเทศจากการเข้าซื้อกิจการอีคอมเมิร์ซของประเทศต่างๆ
ทั่วโลก
5.) เยอรมนี
- มูลค่าการซื้อขายสินค้าออนไลน์ : 73
พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- อีคอมเมิร์ซ คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดของอุตสาหกรรมค้าปลีก
: 8.4%
เยอรมนีถือเป็นตลาดอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่เป็นอันดับที่
2 ของยุโรป เป็นรองเพียงสหราชอาณาจักรเท่านั้น
ที่นำโดยแพลตฟอร์มชื่อดังระดับโลกอย่าง U.K. Amazon และ eBay และตามมาด้วยแพลตฟอร์มของประเทศอย่าง Otto
6.) ฝรั่งเศส
- มูลค่าการซื้อขายสินค้าออนไลน์ : 43
พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- อีคอมเมิร์ซ คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดของอุตสาหกรรมค้าปลีก
: 5.1%
ฝรั่งเศสเข้ามาในอันดับที่ 6 ด้วย 2
แพลตฟอร์มชื่อดังของประเทศอย่าง Odigeo และ Cdiscount
ถึงแม้แพลตฟอร์มยักษใหญ่ของโลกอย่าง Amazon จะตามมาติดๆ
ในแพลตฟอร์มยอดฮิตของประเทศนี้
แต่แพลตฟอร์มท้องถิ่นก็ยังคงพยายามที่จะรักษาความได้เปรียบและความเหนือกว่าแพลตฟอร์มคู่แข่งจากสหรัฐฯ
เอาไว้ได้
7.) เกาหลีใต้
- มูลค่าการซื้อขายสินค้าออนไลน์ : 37
พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
- อีคอมเมิร์ซ คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดของอุตสาหกรรมค้าปลีก
: 9.8%
เกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีความเร็วของอินเทอร์เน็ตไร้สายที่เร็วที่สุดในโลก
นอกจากจะมีมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซสูงแล้ว ยังถือเป็นหนึ่งในผู้นำของ m-Commerce
โลกที่น่าจับตามองอีกหนึ่งประเทศ โดยผู้ครองตลาดอีคอมเมิร์ซก็คือ 2 แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ของประเทศ
Gmarket และ Coupang
จากข้อมูลทำให้ทราบว่า ‘อีคอมเมิร์ซ’
ถือเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีมูลค่าสูงที่สุดของโลกและมีการเปลี่ยนแปลงเกิดทุกแทบทุกวันเลยก็ว่าได้
ในอนาคตอันดับต่างๆ จะมีการเปลี่ยนแปลง
หรือจะมีผู้เล่นรายใหม่เกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน รวมถึงประเทศไทยจะดันตัวเองเข้าไปสู่
Top 7 ได้หรือไม่เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
แหล่งอ้างอิง :