FTA อียู-เวียดนาม สะเทือนส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย
นับตั้งแต่สหภาพยุโรป
(อียู) และเวียดนาม ได้ลงนามความตกลงเขตการค้าเสรีหรือ EU-Vietnam
Free Trade Agreement (EVFTA) เมื่อปลายปี 2558
และใช้เวลาในการเจรจาเป็นเวลา 3 ปีจนบรรลุข้อตกลงที่ครอบคลุมการเปิดตลาด
การค้าสินค้า การค้าบริการ การค้าอิเล็กทรอนิกส์ และการลงทุน
รวมถึงลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน
โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินกระบวนการให้สัตยาบันเพื่อให้ความตกลงมีผลบังคับใช้เสร็จสิ้นภายในปี
2562 นี้
ก่อนเข้าเรื่องเราอยากให้ท่านผู้อ่านเข้าใจสาระสำคัญของความตกลง
EVFTA คือ ทั้งสองประเทศจะลดภาษีสินค้านำเข้ากว่าร้อยละ
99 ของสินค้านำเข้าทั้งหมด
โดยสหภาพยุโรปจะลดภาษีสินค้าทันทีเมื่อความตกลงมีผลบังคับใช้ร้อยละ 71
ของสินค้าส่งออกจากเวียดนาม และจะทยอยลดภาษีสินค้าที่เหลือภายใน 7 ปี ส่วนเวียดนาม
จะลดภาษีสินค้าทันทีร้อยละ 65 ของสินค้าส่งออกจากสหภาพ-ยุโรป
เมื่อความตกลงมีผลบังคับใช้ และจะทยอยลดภาษีสินค้าที่เหลือภายใน 10 ปี
การลดภาษีสินค้านำเข้าภายใต้กรอบความตกลงเขตการค้าเสรี EVFTA ในภาพรวมจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเวียดนามมากขึ้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
หมัดต่อหมัด ไทยยังเป็นต่อแค่‘ต้นเกม’
พิจารณาเฉพาะหมวดสินค้า ‘อัญมณีและเครื่องประดับ’ โดยศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ได้แจกแจงเรื่องนี้ว่า
ในระยะสั้นถึงกลาง ไม่ได้ส่งผลให้เวียดนามได้เปรียบไทยมากนัก
เพราะแม้ว่าไทยจะต้องเสียภาษีนำเข้าสินค้าประเภทนี้ในปัจจุบัน
แต่อัตราภาษีนำเข้าในอียูก็อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ คืออยู่ที่ร้อยละ 0-4
และด้วยไทยมีฝีมือการเจียระไนอัญมณีและผลิตเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
จึงทำให้สินค้าไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงและยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดโลกรวมถึงตลาดอียูซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดหลักของไทยด้วย
สะท้อนให้เห็นจากสถิติการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยที่สูงเป็นอันดับต้นๆ
ในตลาดอียู ซึ่งปัจจุบันไทยส่งออกไปยังอียูสูงกว่าเวียดนามถึงเกือบ 10 เท่า
โดยไทยมีมูลค่าส่งออกราว 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งร้อยละ 40
ของมูลค่าการส่งออกเป็นเครื่องประดับเงินที่ไทยครองตำแหน่งแหล่งนำเข้าสำคัญอันดับแรก
ส่วนอีกร้อยละ 20 เป็นเครื่องประดับทองที่ไทยเป็นแหล่งนำเข้าสำคัญอันดับ 2
และส่วนที่เหลือเป็นเพชรพลอยเจียระไน และเครื่องประดับเทียม ตามลำดับ
ในขณะที่เวียดนามมีมูลค่าการส่งออกประมาณ 180
ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสินค้าส่งออกหลักคือ เครื่องประดับเทียม ซึ่งมีสัดส่วน 1 ใน 3
ของมูลค่าการส่งออกรวม โดยคาดว่าเป็นการส่งออกจากบริษัทผู้ผลิตเครื่องประดับรายใหญ่ของโลกที่ย้ายฐานการผลิตไปจากประเทศไทย
เมื่อพิจารณาในระยะยาว EVFTA อาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของไทย
เพราะแม้ว่ามูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของเวียดนามไปยังอียูจะยังค่อนข้างต่ำ
แต่ก็มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น หากเวียดนามได้พัฒนาทักษะฝีมือแรงงานเพิ่มมากขึ้นประกอบกับการได้รับยกเว้นภาษีสินค้านำเข้าจากอียู
รวมถึงไม่มีมาตรการการค้าที่เป็นอุปสรรคระหว่างกันแล้ว
สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับจากเวียดนามก็อาจแย่งส่วนแบ่งตลาดของไทยในอียูได้ในอนาคต
เพราะฉะนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงควรเร่งพัฒนาคุณภาพมาตรฐานสินค้าอยู่เสมอ รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตและการตลาดเพิ่มมากขึ้น เพื่อรักษาหรือเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของไทยในอียูไว้ให้ได้
ตามตารางข้างบนจะเห็นว่าตลาดอียูคือเบอร์สองของกลุ่มส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย
ทั้งมีอัตราการขยายตัวที่ดี โดยเฉพาะเครื่องประดับที่มีการออกแบดีไซน์ที่โดดเด่น
ตลาดจึงยังเปิดกว้างมากสำหรับงานแฟชั่นและดีไซน์
ดังนั้นการรักษามาตรฐานและการเน้นการออกแบบที่โดดเด่น
เชื่อว่าตลาดอียูยังคงเป็นตลาดที่มีศักยภาพของอัญมณีและเครื่องประดับไทย
ที่ใครก็แย่งไปไม่ได้ นอกจากเราจะหยุดการพัฒนาเสียเอง
อ้างอิง : ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)