“หุ่นยนต์ดินสอ” นวัตกรรมไทย..ก้าวข้ามคำว่าเป็นไปไม่ได้
“หุ่นยนต์ดินสอ”
“หุ่นยนต์ดินสอ” ผลงานมาสเตอร์พีซฝีมือคนไทย ที่ก้าวไกลบุกตลาดญี่ปุ่น ประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยี โดยคุณเฉลิมพล ปุณโณทก CEO บริษัท CT ASIA ROBOTICS ได้เปิดเผยถึงการทำงานว่า ด้วยอุดมการณ์ที่ตั้งไว้ในใจมานานว่าต้องการสร้างสิ่งไฮเทคเพื่อคนไทย เริ่มจากก้าวแรกที่ทำคือธุรกิจซอฟต์แวร์ด้านคอลเซนเตอร์ที่ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทชั้นนำหลายแห่ง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจด้านไฮเทคโนโลยี
[caption id="attachment_18908" align="aligncenter" width="1586"] ภาพจาก Facebook : DINSOWROBOTICS[/caption]
และหลังจากเมื่อเปิดบริษัทมาได้ 15 ปี จึงเริ่มมองหาสิ่งที่ท้าทายมากขึ้นกว่าเดิม โดยมองเห็นผู้ชนะเลิศประดิษฐ์หุ่นยนต์ของไทยที่ไม่มีงานรองรับ ไม่ได้มีการต่อยอดด้านความเป็นเลิศด้านการสร้างหุ่นยนต์ จึงชวนบุคคลเหล่านี้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาเพื่อผลิตหุ่นยนต์เชิงพาณิชย์ ซึ่งเป็นบริษัทแรกและบริษัทเดียวในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน
ในการเลือกหุ่นยนต์ คุณเฉลิมเล่าต่อว่าต้องชัดเจนในความเป็นเลิศด้านใดด้านหนึ่ง โดยมองเรื่องการดูแลผู้สูงอายุเนื่องจากเห็นว่าสังคมผู้สูงอายุยังไม่มีนวัตกรรมตัวใดเข้าไปรองรับ โดยมองไปที่ประเทศญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศเป็นสังคมผู้สูงอายุที่มีผู้อายุมากที่สุดในโลก ประมาณ 30 ล้านคน เป็นประเทศต้นแบบในเรื่องของสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นเป็นตลาดที่ใหญ่มาก
นอกจากเรื่องตลาดแล้วยังมีเรื่องภาพลักษณ์แบรนด์ เพราะถ้าหากสร้างหุ่นยนต์แล้วเข้าประเทศญี่ปุ่นได้จะได้รับการยอมรับถึงคุณภาพทันที
เมื่อมองเห็นถึงความเป็นไปได้จึงเริ่มหาข้อมูล จนสร้างเป็นหุ่นยนต์ต้นแบบของการดูแลผู้สูงอายุขึ้นมา ลงพื้นที่ตามบ้านผู้สูงอายุทั้งญี่ปุ่น เพื่อจะหาว่านวัตกรรมจะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาได้อย่างไร
หุ่นยนต์ที่ทำภารกิจเฉพาะ โฟกัสกลุ่มผู้สูงอายุติดเตียง
คุณเฉลิมพลอธิบายว่า “หุ่นยนต์ดินสอ” เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่รวมหลากหลายศาสตร์ไว้ด้วยกัน ด้านวิศวกรรมที่มีทั้งอิเล็กทรอนิกส์ แมคคาทรอนิกส์ เรื่องเทคโนโลยีเสียง ด้านซอฟต์แวร์ รันด้วยระบบลีนุกซ์ ประกอบกันเป็นหุ่นยนต์ขึ้นมา ใช้เวลาพัฒนาประมาณ 8 ปี ทีมงาน 80 คน โดยมีวิศวกรด้านหุ่นยนต์มากกว่า 10 คน ทั้งยังประสานงานการร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญต่างๆ อีกไม่ต่ำกว่า 30 คน
“ที่ชื่อ “ดินสอ” มาจากความคิดที่ว่าเป็นหุ่นยนต์ที่ใช้ง่ายๆ ดินสอเป็นสิ่งที่ที่เริ่มใช้กันตั้งแต่เด็ก เป็นตัวแทนของความง่ายในการใช้งาน”
หลังจากได้หุ่นยนต์ต้นแบบแล้ว ทางคุณเฉลิมพลกล่าวว่าต้องรอถึงเวอร์ชัน 2-3 จึงออกสู่ตลาดได้ โดยมีหุ่นยนต์ดินสอมินิ ที่จับกลุ่มตลาดกว้าง ผลิตจำนวนหลักพันตัวเพื่อดูแลผู้สูงอายุส่งไปยังประเทศญี่ปุ่นด้วยขนาดที่กะทัดรัด โดนเน้นตลาดคนป่วยสูงอายุติดเตียง
โดยจุดเด่นอยู่ที่ฟีเจอร์ต่างๆ เช่น มองเห็นผู้สูงอายุเมื่อตื่นนอนแม้ในเวลากลางคืน หรือหากเกิดการหกล้ม ดินสอสามารถรู้ได้และเตือนไปยังสมาร์ตโฟนของบุตรหลาน หรือเมื่อผู้สูงอายุซึมเศร้า ดินสอจะชวนให้ฟังและร้องเพลงคลายเหงา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยทดลองจับมือกับบ้านพักผู้สูงอายุในญี่ปุ่นในการทดลองใช้ แล้วนำคำติชมมาปรับปรุงแก้ไข พัฒนาอย่างต่อเนื่องประมาณ 2 ปี จนพร้อมปฏิบัติการ
“สำหรับตลาดหุ่นยนต์ในญี่ปุ่น สิ่งที่ดินสอสู้ได้และยังไม่มีคู่แข่ง คือการที่เราเป็นหุ่นยนต์ที่ทำภารกิจเฉพาะ โฟกัสไปที่กลุ่มผู้สูงอายุติดเตียง ซึ่งที่ญี่ปุ่นยังไม่มี”
[caption id="attachment_18909" align="alignnone" width="1478"] ภาพจาก Facebook : DINSOWROBOTICS[/caption]
สร้างหุ่นยนต์มาหาเงิน โดยยังไม่ได้ขายหุ่นยนต์
สำหรับแผนธุรกิจเพื่อรองรับ คุณเฉลิมพลเล่าว่า กว่าหุ่นยนต์จะออกสู่ตลาดได้เป็นเวอร์ชั่น 2 ขึ้นไป ช่วงแรกต้องพบกับปัญหาด้านเงินลงทุนเนื่องจากถูกมองว่าเป็นโปรเจกต์ที่เป็นไปไม่ได้ จึงต้องมีแผนหาเงินให้ได้เร็วที่สุดด้วยตัวเองโดยที่ยังไม่ได้ขายหุ่นยนต์
ซึ่งในการวางแผนด้านการลงทุน CT ASIA ROBOTICS ไม่ได้ทำอยู่ในกรอบธรรมดา คือการสร้างหุ่นยนต์ให้เสร็จแล้วนำมามาขาย แต่ใช้วิธีหาเงินเข้ามาให้ได้ก่อน เป็นการโตภายในแบบทีละขั้นตอน
โดย Business Model คือนำหุ่นยนต์ไปโฆษณาสินค้า ใช้หน้าหุ่นยนต์แสดงผลเป็นจอเพื่อโปรโมตสินค้า ซึ่งกลับได้ผลเกินคาดหมาย เพราะไม่ได้มีเพียงการซื้อโฆษณาบนหน้าหุ่นยนต์ แต่มีการเช่าทั้งตัวเพื่อไปออกอีเวนต์
“ดินสอเริ่มสร้างรายได้จากการโชว์ตัวตามอีเวนต์ต่างๆ พิธีเปิดงาน หรือการนำเสนอสินค้า อย่างรุ่น 1.5 ขายให้เอ็มเคสุกี้เพื่อเป็นหุ่นยนต์เสิร์ฟอาหาร เมื่อมีรายได้จากจุดนี้ จึงนำมาพัฒนาดินสอรุ่นต่อมาให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ต่อยอดมาเรื่อยๆ จากนั้นได้ขายให้เครือสหพัฒน์ ธนาคารออมสิน หน้าที่หลักคือสร้างความน่าสนใจทางการตลาด”
[caption id="attachment_18910" align="aligncenter" width="1232"] ภาพจาก Facebook : DINSOWROBOTICS[/caption]
เริ่มจากวิสัยทัศน์ “ต้องเชื่อก่อนว่าสู้ได้”
กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ CT ASIA ROBOTICS ต้องพบเจอกับอุปสรรคมากมาย ในการที่จะประสบความสำเร็จ คุณเฉลิมพลกล่าวว่า สิ่งที่สำคัญคือผู้นำ ซึ่งคือตัวของเขาเองต้องเชื่อก่อนว่าสู้ได้ โดยมองถึงปัจจัยต่างๆ รอบด้านให้ออกว่าเหตุใดจึงสู้ได้ เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ เพราะหากไม่มีความเชื่อนี้ ต่อให้ทีมงานเก่งแค่ไหนก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ สำหรับตนเองนั้นเชื่อว่าสู้ได้ด้วยเหตุเหล่านี้
1.เด็กไทยชนะเลิศหุ่นยนต์ระดับโลกมากมาย แสดงให้เห็นว่าบุคลากรของไทยมีศักยภาพพอ
2.วิศวกรไทยมีความเชี่ยวชาญ จากที่ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและประกอบชิ้นส่วนต่างๆ เช่น รถโตโยต้า ฮอนด้า ฯลฯ ล้วนเกิดจากฝีมือคนไทย
3.ตลาดหุ่นยนต์ยังไม่มีการขายให้เห็นชัดเจน แม้แต่ญี่ปุ่นที่เป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยี แต่ก็ยังไม่มีหุ่นยนต์วางขายตามท้องตลาด
จากสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่หากคิดอย่างรอบด้านจะมองเห็นถึงโอกาส ซึ่งผู้นำต้องเริ่มจากวิสัยทัศน์เช่นนี้ และนำโจทย์มาให้ทีมงานที่มีศักยภาพมาดำเนินงานต่อให้ถึงเป้าหมาย
ปัญหาและอุปสรรค
“ความยากอย่างแรก คือยากที่จะมีคนกล้าคิดและกล้าทำแบบนี้ โดนสังคมรอบด้านพูดว่าเป็นไปไม่ได้ จะเอาเงินจากไหน วิศวกรที่ไหนจะเชื่อ ธนาคารที่ไหนจะปล่อยกู้ ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้เห็นว่าเป็นไปได้ และทยอยทำให้เกิดขึ้นจริง กำลังใจหากไม่มุ่งมั่นก็ยากที่จะถึงฝันได้”
นี่คือคำกล่าวของ CEO หนุ่ม กับคำถามที่ว่าอะไรคือความยากในการสร้างผลงานระดับโลกชิ้นนี้
ส่วนความยากอย่างที่สองคือเรื่องทีมงาน คือจะมีวิธีการอย่างไรที่จะดึงพลังของทีมงานออกมา สร้างระเบียบวินัย สร้างความเป็นมืออาชีพออกมาให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ได้ผลงานระดับโลก เกิดความสำเร็จขึ้นมา
และความยากอย่างที่ที่สาม ก็คือการโน้มน้าวใจให้ลูกค้าซื้อ ในข้อนี้คุณเฉลิมพลกล่าวว่าหากข้อแรกทำออกมาได้ดี ผลงานมีประสิทธิภาพ ตรงตามความต้องการของลูกค้า มีราคาเหมาะสม ลูกค้าก็มีโอกาสสูงที่จะซื้อ
“วิจัยและพัฒนา” ปัจจัยความสำเร็จ SME
ด้านแนวทางในอนาคต CT ASIA ROBOTICS วางแผนสร้างให้หุ่นยนต์ให้เก่งขึ้น โดยเฉพาะในด้านการแพทย์ มีเป้าหมายขยายตลาดไปยังเยอรมนี ฮ่องกง และจีน และคุณเฉลิมพล ยังฝากคำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการ โดยกล่าวว่าเอสเอ็มอีไทยควรให้ความสำคัญกับวิจัยและพัฒนา ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญเพราะคือการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เป็นตัวช่วยจากการซื้อมาขายไปหรือการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าในรูปแบบเดิมๆ ซึ่งในปัจจุบันมีนักวิจัยที่พร้อมให้ความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ ของทางภาครัฐ เช่น สวทช. หรือตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ขอเพียงผู้ประกอบการเอสเอ็มอีนำโจทย์วิจัยมาเสนอ ซึ่งบุคลากรเหล่านี้ถือว่าเป็นทีมของคนไทย
“Business Model เดิมๆ ล้าสมัยลงทุกวัน ตัวนักวิจัยเองไม่เชี่ยวชาญเรื่องการตลาด ทั้งสองฝ่ายต้องจับมือกันเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจไทย ให้เอสเอ็มอีไทยก้าวมาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ”
ส่วนเคล็ดลับในด้านการส่งออกสินค้าคุณเฉลิมพลเพิ่มเติมว่า
“เอสเอ็มอีต้องทำการตลาดและสร้างแบรนด์ ไม่ไช่แค่เพียงส่งสินค้าออกไปเพียงอย่างเดียว เพื่อให้ผู้บริโภครู้จัก เน้นเรื่องที่ตัวเราถนัดแล้วให้เป็นเลิศในระดับโลก อาจไม่จำเป็นต้องทำให้ครบวงจร แต่เลือกใช้วิธีจับมือหาพันธมิตรในการค้า ไม่ต้องทำเองทุกเรื่อง”
นอกจากนี้คุณเฉลิมพลยังกล่าวอีกด้วยว่า ได้รับความช่วยเหลือจากธนาคารกรุงเทพ โดยคุณชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ และคุณปิติ สิทธิอำนวย รองประธานกรรมการธนาคาร ท่านได้ทราบถึงการทำงานของบริษัท ทำให้มีโอกาสได้เข้าพบ และได้รับการสนับสนุนในเชื่อรูปแบบต่างๆ จากที่ล้มลุกคลุกคลาน จนสินค้ากำลังได้รับความนิยม ซึ่งเรื่องเงินทุนเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การทำงานไปต่อได้ ขอบคุณทางธนาคารกรุงเทพที่เห็นความสำคัญและให้การสนับสนุน จากเอสเอ็มอีที่มีขนาดเล็กให้เติบโตจนเป็นบริษัทข้ามชาติได้ในที่สุด
CT ASIA ROBOTICS โทร.0-2013-1431-4