Super AI Engineer สร้างฟันเฟืองขับเคลื่อนประเทศยุคต่อไป
ปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวล้ำสมัยอย่างรวดเร็วจนตามไม่ทันสามารถมองออกเป็น
2 ด้านก็ว่าได้ ด้านหนึ่งคือสร้างความสะดวกสบายและช่วยให้มนุษย์บริหารจัดการสิ่งต่างๆ
ให้ดีขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งที่อาจส่งผลกระทบต่อมนุษย์ได้หากปรับตัวไม่ทันต่อความเปลี่ยนแปลง
เช่นเดียวเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI)
การเข้ามามีบทบาทของ AI
ทำให้ทั่วโลกเริ่มเกิดความวิตกกังวลในวงกว้าง เนื่องจาก AI กำลังจะเข้ามาทำงานแทนมนุษย์ เทคโนโลยีที่ AI กำลังรุกคืบเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ซึ่งจะสร้างผลกระทบต่อแรงงานมนุษย์ ทำให้หลายบริษัทเริ่มเลิกจ้างแรงงานในบางสาขาอาชีพที่มีแนวโน้มจะเริ่มลดจำนวนลงอย่างมาก
เนื่องจากการเข้ามาทำงานแทนที่ของ AI
สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้อย่างมีศักยภาพตลอด 24 ชั่วโมง นี่คือยุคทองของ AI
“วลาดิเมียร์ ปูติน” ผู้นำรัสเซีย
เคยกล่าวเอาไว้ว่า “ชาติไหนกลายเป็นผู้นำด้าน AI ชาตินั้นจะได้ครองโลก”
ทุกวันนี้ AI นั้นเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในแทบทุกวงการ เป็นทั้งความหวังและอนาคตของนานาประเทศ ซึ่งจะเห็นได้จากนโยบายจำนวนมากแต่ละชาติต่างมุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพ AI อย่างถึงที่สุด โดยเฉพาะ “จีน” นั้นได้ตั้งเป้าเป็นประเทศผู้นำด้าน AI ภายในปี 2030 เช่นเดียวกับ “สหรัฐอเมริกา” ทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อสนับสนุนนักวิทยาศาสตร์เร่งทำวิจัยพัฒนา AI อย่างเข้มข้น ส่วน “สหราชอาณาจักร” ก็ไม่น้อยหน้าได้ตั้ง “Office for AI” ทำงานร่วมกับสภา AI โดยมีผู้แทนจากภาครัฐและเอกชน ขณะที่ “ญี่ปุ่น” ก็ไม่ยอมตกขบวนได้ประกาศสร้างเศรษฐกิจ 5.0 ด้วยแนวคิด “AI as a service”
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
AI ยกระดับเศรษฐกิจทัดเทียมชาติมหาอำนาจโลก
แม้ว่าการเกิดขึ้นของ AI จะส่งผลกระทบต่อการจ้างงานมหาศาลในอนาคต โดยองค์การแรงงานนานาชาติ
(ILO) องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ประเมินเอาไว้ว่า
จะทำให้อัตราการว่างงานทั่วโลกเพิ่มขึ้นอีกมากกว่า 11 ล้านคน
ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า แต่ AI กลายเป็นโอกาสสำหรับประเทศผู้ที่มีความพร้อมและปรับตัวได้อย่างเท่าทัน
ซึ่งนั่นหมายถึงโอกาสอันดีของชาติที่กำลังพัฒนา เช่นเดียวกับ “ประเทศไทย” ที่จะเดินหน้าเร่งยกระดับเศรษฐกิจจากเทคโนโลยีและนวัตกรรม
เพื่อให้เกิดความทัดเทียมชาติมหาอำนาจของโลก
สอดคล้องกับความคิดเห็นของ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก
เหล่าธรรมทัศน์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
มองว่าประเทศไทยนั้นมีสมรรถนะทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอยู่ในระดับแถวหน้าของกลุ่มประเทศอาเซียน
แม้ยังไม่เท่าสิงคโปร์แต่งานวิจัยและนวัตกรรมหลายด้านของประเทศไทยก็สามารถทำในสิ่งที่สิงคโปร์ทำไม่ได้
ส่วนขีดความสามารถด้าน Bio
Economy, Circular Economy, Green Economy
หรือ BCG ของประชาชนชาวไทยก็อยู่ในระดับแถวหน้าของเอเชีย แถมบางด้านยังอยู่ในระดับแถวหน้าของโลกด้วยซ้ำ
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก ระบุว่า
ประเทศไทยได้เปรียบชาติอาเซียนตรงที่มีฐานทุนทางทรัพยากรบุคคลที่แข็งแรง ทำให้มีต้นทุนทาง
AI ที่ไม่น้อยหน้านานาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐบาลผลักดันขับเครื่อนไปอย่างอย่างจริงจัง
โดยที่ผ่านมาได้ประกาศจับมือกับสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำของประเทศ ภาคีภาคเอกชน และสมาคมวิชาชีพ
ร่วมกันปลุกปั้น “ทีม AI ระดับชาติ” ขึ้นมา ด้วยความหวังและจุดชี้ขาดอนาคตประเทศไทยครั้งสำคัญ เกิดขึ้นเมื่อวันที่
14 กันยายนที่ผ่านมา เมื่อ อว. ตัดสินใจผนึกกำลังกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
(มธ.) และเครือข่ายอีกกว่า 45 องค์กร จัดตั้ง “ภาคีปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย” (Thai
AI Consortium) ขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศ
“AI จะเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการพัฒนาประเทศ
ซึ่งจะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขัน
ประกอบกับความต้องการของเทคโนโลยีนี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าภาครัฐ ภาคเอกชน
ภาคการศึกษา ล้วนต้องการพัฒนาผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้ ความร่วมมือที่เกิดขึ้นนี้จะเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญ
ที่จะพัฒนาบุคลากรที่มีความสามารถพิเศษด้านปัญญาประดิษฐ์ที่จะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการผลิตและภาคบริการไปสู่อนาคตที่โชติช่วงยิ่งขึ้น
”
ผุด Super
AI Engineer สร้างฟันเฟืองขับเคลื่อนประเทศยุคต่อไป
จากเป้าหมายที่ชัดเจนและรัฐบาลเตรียมทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อต่อยอดองค์ความรู้
ยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรในประเทศผ่าน “โครงการพัฒนาบุคลากรความสามารถพิเศษด้านปัญญาประดิษฐ์”
(Super AI
Engineer) ภายใต้ความคาดหวังที่จะสร้างฟันเฟืองตัวใหญ่สำหรับขับเคลื่อนประเทศ
ทำให้โครงการนี้สามารถพัฒนาทักษะด้านปัญญาประดิษฐ์ของประเทศ (AI Academy
Alliance) โดยทางเครือข่ายพร้อมผู้สนับสนุนความร่วมมือทุกฝ่าย
ซึ่งนับเป็นอีกนิมิตหมายอันดีของประเทศไทยตามเป้าหมายที่วางไว้ มุ่งมั่นพัฒนาประเทศและสังคมไทยให้มีความพร้อมทั้งในด้านทรัพยากร
บุคลากร และมีการบริหารจัดการองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อย่างเป็นระบบ ซึ่งถือว่าจะเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญ
ที่จะพัฒนาบุคลากรที่มีความสามารถพิเศษด้านปัญญาประดิษฐ์ ที่จะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการผลิตและภาคบริการไปสู่อนาคตที่โชติช่วงยิ่งขึ้น
เนื่องจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ
โดยเฉพาะการสร้างรายได้และการกระจายรายได้
โดยทุกวันนี้รัฐบาลได้สนับสนุนทุนการวิจัยและพัฒนาประมาณ 3 หมื่นล้านบาท
ในจำนวนนี้อยู่ภายใต้การดูแลของ อว. จำนวน 1.9 หมื่นล้านบาท
และอยู่กับหน่วยงานอื่นอีก 1.1 หมื่นล้านบาท
ซึ่งภาพรวมก็ยังถือว่าไม่มากนัก แต่โชคดีที่มีภาคเอกชนที่สนใจด้านการพัฒนา
สนับสนุนงบประมาณให้อีกถึง 9 หมื่นล้านบาท โดยในโลกอนาคต สิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยคือเรื่อง
Digital Transformation และเรื่อง AI ที่จะต้องยกระดับให้มากขึ้น
ดังนั้นการรวมตัวของภาคีปัญญาประดิษฐ์ย่อมจะทำให้เกิดพลังมากยิ่งขึ้น
และเป็นโอกาสอันทีที่จะสร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย
อย่างไรก็ตามแม้ AI จะช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประเทศผ่านทางอุตสาหกรรมและการลงทุน โดยเฉพาะภาคเอกชนที่เริ่มมีการตื่นตัวในเรื่อง AI อย่างมาก ดังนั้นความท้าทายสำคัญที่จะเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจไทย คือผลกระทบต่อการจ้างงานและตลาดแรงงานในอนาคต จึงต้องปรับตัวรับการทำงานร่วมกับ AI โดยงานที่มีโอกาสถูก AI แทนที่มากกว่า 70% เป็นงานเสี่ยงสูง ซึ่งทุกวันนี้ไทยมีแรงงานเสี่ยงสูงอยู่มากกว่า 8.3 ล้านคนที่มีโอกาสตกงาน หรือแม้แต่ผู้ประกอบอาชีพระดับวิชาชีพที่มีการศึกษาค่อนข้างสูง เช่น นักบัญชี นักกฎหมาย ก็มีความเสี่ยงที่งานจะถูกทดแทนโดย AI เช่นกัน หากไม่เร่งปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลง