แค่ฉีกซองก็อร่อย! ปั้นแบรนด์ ‘น้ำพริกส็อก’ สู่โต๊ะอาหารทั่วโลก
จากเชฟระดับมือรางวัล
ดีกรีรองแชมป์จากรายการ Top Chef Thailand Season 1 และเจ้าของเหรียญเงินในการแข่งขันเชฟระดับโลกปี
2557 ผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการอาหารมากว่า 10 ปี เชฟเมย์–พัทธนันท์ ธงทอง ผู้ก่อตั้ง บริษัท พัทธนันท์ คอนซัลติ้ง
จำกัด เจ้าของแบรนด์ ‘น้ำพริกเชฟเมย์’ ที่ล่าสุดไปคว้ารางวัลชนะเลิศภาคเหนือ
จากโครงการสุดยอดธุรกิจนวัตกรรมประเทศไทยประจำปี 2564
รอบภูมิภาค ภายใต้ ‘นิลมังกรแคมเปญ’ โดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ
(องค์การมหาชน) (NIA)
หลายคนรู้จักเธอในฐานะเจ้าของลีลาดุดันและจริงจังในรายการแข่งขันทำอาหาร
Top
Chef Thailand และยังเป็นเชฟที่อยู่เบื้องหลังเมนูเด็ดของหลายร้านดัง
เป็นที่ปรึกษาให้กับหลายร้านอาหาร เธอคือเชฟที่ไม่เคยทิ้งตัวตนความเป็นคนเหนือ
และในวันนี้เธอก็กำลังจะนำอาหารหากินยากจากภาคเหนือมาเป็นธุรกิจ ที่ต้องการไปเสิร์ฟความอร่อยสู่โต๊ะอาหารทั่วโลก
โดยนิยามว่า
“Chef's Table ในรูปแบบซอง แค่ฉีกซองก็เหมือนมีเชฟเมย์ไปทำให้กินถึงบ้าน”
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
สร้างรูปแบบการกินน้ำพริกแบบใหม่
เชฟเมย์
เล่าว่า ตนเองเป็นคนเหนือ จึงอยากนำ ‘น้ำพริกส็อก’
ของภาคเหนือ มาเสิร์ฟความอร่อยให้กับคนไทยในทุกภาคได้รู้จัก
จึงต่อยอดนวัตกรรมการผลิตและจัดจำหน่ายในครั้งนี้ เพื่อสืบสานวัฒนธรรมด้านอาหารของภาคเหนือ
ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
คำว่า
‘ส็อก’ มาจากภาษาเหนือโบราณ เป็นลักษณะของการเอาสากไปโขลกลงไปเบาๆ
บนอาหารที่อยู่ในครก จังหวะที่โขลกจะมีเสียงดังแบบส็อกๆ จึงเป็นที่มาของชื่อ น้ำพริกส็อก
โดยแรงบันดาลใจอีกส่วนหนึ่งในการทำน้ำพริกครั้งนี้
เกิดขึ้นระหว่างเดินทางด้วยสายการบิน Korean Airline บนเครื่องมีการเสิร์ฟโคชูจังกับข้าวหน้าเนื้อ จึงเกิดความคิดว่าทำไมโคชูจังกินกับอะไรก็อร่อย
เลยอยากทำน้ำพริกของตัวเองให้คนรู้จัก และสามารถนำไปใช้ได้หลายๆ เมนู
เปลี่ยนน้ำพริกธรรมดา
มาใส่นวัตกรรม คงความสดรสไทยแท้
สำหรับขั้นตอนการนำนวัตกรรมมาใช้กับน้ำพริกส็อก
เชฟเมย์ เล่าว่า ใช้นวัตกรรมเครื่องอินฟราเรดมาใช้ย่างมะเขือเทศ พริก
กระเทียม แทนเตาทั่วไป เพื่อลดเขม่าควันที่จะลอยขึ้นไปเกาะบนอาหาร
ลดการเกิดแบคทีเรีย และยังช่วยให้อาหารสะอาด ปลอดภัย
“การใช้ความร้อนจำรังสีอินฟราเรดที่มีอุณหภูมิที่สูงถึง 400 องศา
ทำให้มะเขือเทศจะสุกได้อย่างรวดเร็ว และยังคงรสชาติดั้งเดิมครบถ้วน
แถมยังลดการสูญเสียน้ำ จึงได้มะเขือเทศที่เนื้อเยอะ เวลามาทำน้ำพริกก็จะได้ปริมาตรที่มากขึ้นด้วย”
นอกจากนี้ยังใช้การปั่นด้วยระบบสุญญากาศ
ทำให้สีของน้ำพริกไม่เปลี่ยน ช่วยลดการเกิดออกซิเดชั่นในขณะปั่น คงคุณค่าสารอาหารแม้เวลาจะผ่านไป
ทำให้รสชาติของอาหารไม่เปลี่ยน รวมถึงขั้นตอนการผลิตแบบพาสเจอร์ไรซ์ ซึ่งใช้ขั้นตอนการผลิตแบบ
HACCP
ทำให้ไม่เกิดภาวะความเสี่ยงต่อการทำให้อาหารเสีย จากนั้นเมื่อนำอาหารออกจากความร้อน
นำมาน็อคด้วยความเย็นทันทีแบบอัตโนมัติ
ช่วยยืดอายุทำให้อาหารไม่เสียง่ายแม้อยู่ในอุณหภูมิปกติ
“ปัญหาสำคัญที่คนไม่นิยมทำน้ำพริกส็อก เนื่องจากของเหลวจากมะเขือเทศไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน
แต่เราสามารถทำได้ด้วยนวัตกรรมที่สามารถเก็บรักษาง่าย ทานได้สะดวก
และที่สำคัญเหมือนได้ทานสดๆ”
ภาพ
:
https://mgronline.com/smes/
ประยุกต์น้ำพริกให้เข้ากับทุกเมนู
เสิร์ฟบนโต๊ะอาหารทั่วโลก
ด้วยทักษะและความเชี่ยวชาญในแบบเชฟ
ทำให้น้ำพริกส็อกสามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นเมนูหลายๆ อย่าง ทั้งซอสจิ้มแบบไทยๆ
หรือจะนำไปเป็นเครื่องแกง เป็นอาหารจานเดียวกินกับแครกเกอร์หรือคาเวียร์
ทำซอสพาสต้าในเมนูอิตาเลียนฟู้ด ใช้แทนโคชูจังของเกาหลี กินกับบะหมี่ในอาหารจีน
นวัตกรรมความอร่อยที่เริ่มจากเมืองเหนือแต่สามารถประยุกต์ได้กับทุกเมนูอาหารทั่วโลกทั้งคาวและหวาน และทำออกมาในรูปแบบซองที่กินง่าย พกพาสะดวก เปิดซองมาก็จะอร่อยเหมือนเดิมทุกครั้ง
ภาพ : https://mgronline.com/smes/
ตอบโจทย์เทรนด์
‘ซุปเปอร์ฟู้ด’ ดีต่อสุขภาพ
เชฟมือรางวัลยังบอกอีกว่า
‘น้ำพริกเชฟเมย์’ เป็นมากกว่าน้ำพริกที่เข้ากับทุกเมนู
เพราะด้วยสารอาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ไลโคปีนจากมะเขือเทศ และยังเป็นทางทางเลือกสำหรับผู้รักสุขภาพ
ตอบโจทย์คุณค่าด้านสารอาหาร
รวมทั้งยังมีกรรมวิธีที่พิถีพิถัน
ไม่ว่าจะเป็นการเลือกมะเขือเทศต้องเป็นลูกที่สุกจัดจาก 2 สายพันธุ์ด้วยกันคือ มะเขือเทศสายพันธุ์พื้นเมืองและมะเขือเทศสายพันธุ์ท้อ
ส่วนความเผ็ดมาจากพริกขี้หนูที่คัดสรรมาอย่างดี รวมไปถึงความเค็มจากกะปิและปลาร้าที่อร่อยลงตัว
และไม่ใส่สารปรุงแต่งเพิ่มเติมใดๆ ลงไปในอาหาร ทำให้ทุกอย่างเป็นไปโดยธรรมชาติ
รสชาติกลมกล่อมแบบครบรส
“แม้จะเป็นน้ำพริก ก็ยังเป็นซูเปอร์ฟู้ดได้ด้วย เพราะสารอาหารที่อยู่ข้างในมีทั้งไลโคปีน
วิตามินซี แคลเซียม มีทุกอย่างที่กินแล้วทำให้เจริญอาหาร นอกจากอร่อยที่สำคัญต้องดีต่อสุขภาพ”
เน้นการตลาดออนไลน์
เจาะกลุ่มรักสุขภาพในอนาคต
น้ำพริกส็อก
ยังคงทำในรูปแบบโฮมเมดและขายผ่านทางออนไลน์ รวมถึงร้านอาหารของเชฟเมย์เป็นหลัก ซึ่งจากชื่อเสียงที่เคยสั่งสมมา
ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นในตัวเชฟ อยากเข้ามาซื้อมาลองลิ้มรสน้ำพริกส็อก
ขณะที่แผนในอนาคตได้วางการตลาดไว้ว่า
อยากให้ Influencers
ด้านต่างๆ มาช่วยโปรโมทแบรนด์ โดยมุ่งเน้นที่จุดแข็งเรื่องอาหารสุขภาพ
เนื่องด้วยสถานการณ์ปัจจุบันทุกคนให้ความสำคัญเรื่องโรคภัยไข้เจ็บมากขึ้น
และเชื่อว่าจะสามารถต่อยอดทางการตลาดได้ในอนาคต
OEM
รุกตลาดทั้งไทย และต่างประเทศ
เชฟเมย์
บอกอีกว่า การขยายตลาดน้ำพริกส็อก ปัจจุบันอยู่ระหว่างมองหาพาร์ทเนอร์ทั้งในการด้านผลิต
การตลาดและการบริหารจัดการสินค้า มาช่วยเติมเต็มจิ๊กซอว์ให้เต็ม
เพื่อให้แบรนด์ของเธอได้ขยับขยาย และมีโอกาสโบยบินไปต่างประเทศ สมความตั้งใจ
“เราก็กำลังก้าวเข้าสู่ตลาดนวัตกรรมที่ระดับใหญ่ขึ้น ไม่ได้ขายแค่แฟนคลับแล้วนะ ต้องขายทั้งประเทศแล้ว ตอนนี้จึงมองหาพาร์ทเนอร์ที่ทำ OEM ให้แต่ยังคงต้องทำตามนวัตกรรมของที่เรามีอยู่ดี เช่น การใช้เครื่องอินฟราเรดในการย่างพริก มะเขือเทศ”
ปัจจุบันนอกจากแบรนด์
น้ำพริกส็อก เธอยังมีบริษัทที่ปรึกษาชื่อ ‘พัทธนันท์
คอนซัลติ้ง จำกัด’
คอยให้คำปรึกษาร้านอาหารต่างๆ เป็นหุ้นส่วนร้านและ Executive Chef ที่ร้าน MAZE กรุงเทพฯ
และยังเป็นที่ปรึกษาและพาร์ตเนอร์ที่ร้าน Fusion One ที่มีสาขาอยู่ในสนามบินภูเก็ตและเชียงใหม่
นวัตกรรมช่วย
‘ลดต้นทุน’ สร้างประสิทธิภาพในการทำงาน
ด้วยความเป็นเชฟที่ถูกหล่อมหลอมมาด้วยกรรมวิธีการคิดทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับเรื่องต้นทุนค่าใช้จ่าย
เพราะเวลาทำอาหารต้องคำนึงถึงเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดในทุกกระบวนการ
ในกระบวนการผลิตน้ำพริกส็อก
เนื่องจากมีการใช้นวัตกรรมที่เล่ามาข้างต้น จึงทำให้ลดต้นทุนแรงงานของคนลงไปได้ บวกกับบริษัท
พัทธนันท์ คอนซัลติ้ง จำกัด มีจำนวนพนักงานไม่ได้มากนัก ส่วนใหญ่พนักงานที่ทำน้ำพริกส็อกจะเป็นพนักงานชุดเดียวกันที่อยู่ในร้านอาหาร
Chef's Table
เพราะฉะนั้นจึงต้องบริหารจัดการคนที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
“พลังงานคนของเรามีอยู่จำกัด กรรมวิธีที่เราคิดตั้งแต่แรกจะใช้คนอย่างจำกัด และต้นทุนไม่สูงมากเกินไป ที่สำคัญเราขายของกิน ของกินเราต้องอร่อยที่สุด ทำยังไงให้อาหารของเราอร่อยที่สุดที่จะดึงดูดใจให้คนซื้อซ้ำๆ”
Rebranding
สร้างแนวคิดให้ธุรกิจอยู่รอดเมื่อเจอวิกฤต
ในฐานะที่เป็นเชฟมืออาชีพ
จึงไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาแบรนด์ของตนเอง ด้วยการ Rebranding เปลี่ยนภาพลักษณ์ของแบรนด์ เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าด้วยภาพลักษณ์ใหม่ๆ ที่ดีขึ้น
ด้วยการปรับเปลี่ยนรูปโฉมแพคเกจจิ้งของแบรนด์ให้ไปอยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่พรีเมียม จากรูปแบบซองสู่รูปแบบขวดในรูปลักษณ์ใหม่
แต่ยังคงคอนเซ็ปต์ทุกอย่างเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง
พร้อมทั้งปรับกลยุทธ์ทางการตลาด สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนและกว้างออกไปมากขึ้น
“อยู่ในขั้นตอนปรับรูปแบบจากซองมาอยู่ในรูปของขวด
แล้วก็ปรับกลุ่มลูกค้าให้ระดับพรีเมียมมากขึ้น เพื่อให้ธุรกิจเราอยู่รอด
ในอนาคตก็จะเน้นการส่งออกแทนที่จะขายในประเทศเป็นหลัก”
นอกจากนี้เชฟเมย์ยังมองว่า
การทำน้ำพริกส็อกแบบซองแบบสำเร็จรูปคนแรก สามารถใช้เป็นจุดแปลกใหม่ตรงนี้เพื่อสร้างแลนด์มาร์กที่มาของรสชาติออริจินัล
สำหรับในแง่ของการของการตลาดจะเป็นการได้เปรียบผู้ประกอบการรายอื่นด้วย
เนื่องจากผู้บริโภคก็ไม่มีตัวเปรียบเทียบ
ทั้งนี้
แม้จะเจอสภาวะการระบาดของโควิด 19 ที่หนักหน่วง
เชฟเมย์ก็พยายามพยุงร้านอาหาร
รวมไปถึงธุรกิจที่กำลังปั้นอย่างน้ำพริกส็อกให้อยู่รอดไปให้ได้
โดยไม่มีการลดพนักงานลง แต่พยายามเรียนรู้จากปัญหาและพัฒนาร้านให้ประคองตัวอยู่รอดไปจนถึงวันที่ทุกอย่างดีขึ้น
เตรียมพร้อมสู่ตลาดใหม่เมื่อโอกาสมา
จากสภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้
ทำให้เกิดผลกระทบเป็นอย่างมาก ทำให้ยอดขายไม่เติบโต ไม่เพียงแค่น้ำพริกส็อก
แต่เป็นแทบทุกธุรกิจทุกประเภท
เชฟเมย์
จึงมองว่า การชะลอตัวของภาคธุรกิจในครั้งนี้
ถือเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับธุรกิจทั้งร้านอาหารและน้ำพริก
ดึงตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอ
หากเมื่อใดเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว
ทั้งน้ำพริกส็อก รวมไปถึงร้านอาหารที่เป็น Chef's Table สามารถออกเดินหน้าพร้อมเปิดได้อย่างทันที
“เมื่อเริ่มไตรมาสใหม่หลังจากโควิดตอนนั้นแหละจะเป็นตัวชี้วัดจริงๆ
ว่าธุรกิจเราประสบความสำเร็จหรือเปล่า ตอนนี้เหมือนอยู่ระหว่างชะลอตัว
ต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อที่จะก้าวเข้าสู่ช่วงเปิดตลาดใหม่”
ดูเหมือนเส้นสายน้ำพริกของเชฟเมย์จะเพิ่งเริ่มต้น
และเป็นการเริ่มต้นในช่วงที่เจอโควิด 19 ระบาดเข้าพอดี
ตอนนี้ที่พอทำได้จึงเป็นการเตรียมพร้อม หล่อเลี้ยงธุรกิจให้อยู่รอด และรอโอกาส
ซึ่งเธอเชื่อมั่นเสมอว่าหากทุกอย่างกลับมาที่จุดเดิมเมื่อไหร่
วันนั้นเธอก็พร้อมจะเดินหน้าต่อได้ทันที กับภารกิจใหม่ ‘ปั้นแบรนด์น้ำพริกส็อกคู่โต๊ะอาหารคนทั่วโลก’
รู้จักน้ำพริกส็อกได้ที่
: