หนังสือเล่มนี้เขียนโดย คาเมะดะ จุนอิชิโร ชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการเงินให้กับประธานบริษัทของญี่ปุ่นมาแล้วหลายแห่ง หลังจากที่พ่อของเขาซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมล้มละลายลง ทำให้เขาต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน จึงตัดสินใจเป็นผู้ตรวจสอบบัญชี เพื่อแนะนำวิธีควบคุมเงินให้แก่ผู้บริหารที่ไม่มีความรู้ด้านการเงิน ซึ่งทำให้เขาได้มีโอกาสพบกับเศรษฐีจำนวนมาก
วันหนึ่งภรรยาเขาได้ซื้อกระเป๋าสตางค์หลุยส์ วิตตอง หนังไทก้า มาให้เป็นของขวัญ ภรรยาบอกว่าคนที่หาเงินเก่งมักใช้กระเป๋าแบบนี้กัน จากนั้นคาเมะดะจึงลองสังเกตกระเป๋าสตางค์ของมหาเศรษฐีกว่า 500 ใบที่เขาได้พบเจอ ทำให้พบข้อสังเกตอย่างหนึ่งว่า รายได้ของคน ๆ นั้นต่อปี จะเท่ากับราคากระเป๋าสตางค์ x 200 ดังนั้นเขาจึงเฝ้าสังเกตการณ์วิธีใช้เงินของเศรษฐีจำนวนมาก และนำแนวคิดมาปรับปรุงการดำเนินชีวิต ซึ่งเขาเชื่อว่าทำให้สถานการณ์ทางการเงินและชีวิตดีขึ้น
คาเมะดะบอกว่า การเลือกซื้อกระเป๋าสตางค์นั้น มีผลในเชิงจิตวิทยากับการใช้เงิน เขาพบว่า เศรษฐีส่วนใหญ่มักใช้กระเป๋าสตางค์สวย ๆ ดูดี มีราคา (ซึ่งก็หมายรวมถึงสิ่งของอื่น ๆ ก็ต้องเป็นของดีมีคุณภาพเช่นกัน) การใช้ของดีมีคุณภาพนั้นมักจะใช้ได้นาน ไม่ต้องเปลี่ยนใหม่บ่อย ๆ จึงทำให้เกิดความคุ้มค่า โดยในทางจิตวิทยาแล้วพบว่า ถ้าเราซื้อกระเป่าสวย ๆ ราคาแพง เราก็จะพยายามหาเงินมาใส่ในกระเป๋าให้คู่ควรกับราคาของกระเป๋าใบนั้น
นอกจากนี้ ผู้เขียนยังเห็นว่า รูปทรงที่ดีที่สุดของกระเป๋าสตางค์คือทรงยาว เพราะสามารถใส่ธนบัตรได้โดยไม่มีรอยยับ จากการสังเกตพบว่า บรรดาเศรษฐีมักจะเรียงธนบัตรในกระเป๋าสตางค์เสมอ ๆ และจะจัดระเบียบกระเป๋าสตางค์อยู่เรื่อย ๆ โดยจะไม่สะสมสิ่งของที่ไม่ใช่เงินในกระเป๋า เช่น การเก็บบัตรสะสมแต้มไว้ในกระเป๋าเยอะ ๆ ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าจะทำให้เงินรั่ว รวมถึงการซื้อของที่เราไม่อยากจะซื้อด้วย
นอกจากนี้ คาเมะดะยังได้อธิบายถึงกฎที่ว่าด้วยวิธีการใช้กระเป๋าสตางค์ของคนที่หาเงินเก่ง รวมไปถึงอธิบายถึงประเภทของรายจ่าย การควบคุมทางออกของเงิน การถอนเงินจาก ATM การเก็บเงิน รวมไปถึงทัศนคติที่ควรจะมีต่อเงิน ซึ่งคาเมะดะคิดเห็นว่า เราควรจะต้องรู้คุณค่าของเงิน ให้เกียรติเงิน และพูดคุยกับเงิน เป็นการสร้างความสัมพันธภาพกับเงิน ซึ่งจะช่วยดึงดูดเงินเข้ามาได้
ในขณะเดียวกัน เราจะต้องไม่หมกมุ่นกับเรื่องเงิน แต่ควรตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด เพื่อหาเงินให้ได้มากที่สุด โดยมีการรักษาระยะห่าง ซึ่งจะทำให้เราสามารถใช้เงินได้อย่างมีความสุข เพราะเงินเป็นเครื่องมือที่ทำให้เรามีทางเลือกอย่างเป็นอิสระในการให้ได้มาซึ่งความสุข และความสะดวกสบาย