หนาวนี้กอดใคร หนาวไหม? งั้นไปเที่ยวกัน กับ สถานที่ท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ
ยังไม่ทันพ้นเดือนตุลาคมดี กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศออกว่าลมหนามกำลังจะเข้ามาเยือนที่ประเทศไทยแล้ว แถมได้ยินมาว่าตอนนี้ทางภาคเหนือของประเทศเริ่มมีลมหนาวเข้ามาทักทายเช่นกัน ทำให้หลายคนเริ่มจับจองหาวันที่จะขึ้นไปท่องเที่ยวเพื่อสัมผัสลมหนาวกันในปลายปี แต่สำหรับเดือนพฤศจิกายน ที่ยังไม่มีวันหยุดยาวมากพอที่จะออกไปท่องเที่ยวแบบขึ้นเหนือล่องใต้ ดังนั้นลองมาดูสถานที่ท่องเที่ยวรับลมหนาวที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ที่รับรองว่า ไปแล้วได้ซึมซับบรรยากาศแบบเต็มๆ เช่นกัน
1. เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
แน่นอนว่าถ้าพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ ไปได้ง่าย แถมสะดวก ต้องหนีไม่พ้นสถานที่ท่องเที่ยวอย่าง เขาใหญ่ ที่จังหวัดนครราชสีมาอย่างแน่นอน ที่นี่มีทั้งสถานที่ท่องเที่ยวดีๆ ไม่ว่าจะเป็นอุทยานแห่งชาติ ที่เมื่อไปถึงแล้วต้องชวนกันให้ไปสัมผัสกับอากาศเย็นๆ แถมยังมีทะเลหมอกให้ได้สัมผัสและซึมซับธรรมชาติเอาไว้อีกด้วย หรือใครชอบท่องเที่ยวสไตล์เมืองนอก ก็มีสถานที่อย่าง พรีโม เพียซซ่า ก็น่าไปเดินเที่ยวเล่น เพื่อไปสัมผัสกับบรรยากาศดีๆ อีกทั้งยังได้ไปถ่ายรูปสวยๆ เก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ อีกด้วย
2. เขาพะเนินทุ่ง
อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี อีกหนึ่งสถานที่ที่ชวนให้มาชมกับทะเลหมอกกรุงเทพฯ ที่ไม่ต้องเดินทางไปไกลถึงภาคเหนือ ที่น่าสนใจ คือ ทะเลหมอกของที่นี่มีให้ชมตลอดทั้งปี ไม่เว้นแม้แต่ในช่วงฤดูร้อน รู้หรือไม่ว่า ทะเลหมอกของที่นี่เกิดจากความสมบูรณ์ของผืนป่าและต้นไม้ ที่คลายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจนกลายเป็นทะเลหมอกหนาตา ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกันในช่วงเช้า และเนื่องจากทะเลหมอกจะคลุมเหนือยอดเขาทั้งปี ทำให้หมอกได้เปลี่ยนทิศทางบ่อยๆ จึงกลายเป็นเรื่องยากในการจดจำว่าภูเขาลูกไหนเป็นลูกไหน ทำให้ที่นี่ได้อีกชื่อหนึ่งว่า “ภูลวงตา” สำหรับช่วงที่ทะเลหมอกถูกยอมรับว่าสวยที่สุด และมีอากาศเย็นสบายที่สุด คือตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป รู้อย่างนี้แล้วอย่าช้าที่จะออกไปท่องเที่ยวที่แก่นกระจาน
3. ภูทับเบิก จังหวัดเพชรบูรณ์
อีกหนึ่งสถานที่ในดวงใจของใครหลายคน ช่วงเทศกาลเมื่อไหร่พูดได้เลยว่าสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ แทบจะไม่ขาดสีสันของการเข้ามาท่องเที่ยวของผู้คนเลย ภูทับเบิกถูกเรียกว่าเป็นดินแดนแห่งสายหมอก เมื่อมาถึงที่นี่ภาพบรรยากาศของธรรมชาติที่เป็นกลุ่มเมฆและทะเลหมอกที่จะตัดกันเหนือยอดเทือกเขาเพชรบูรณ์ในตอนเช้า นับเป็นไฮไลท์ที่หลายคนจะต้องไปเพื่อซึมซับบรรยากาศด้วยตาของตัวเอง ในเวลากลางคืนกิจกรรมที่หลายคนชื่นชอบมากที่สุด คือ การกางเต็นท์นอนบนยอดภู ที่ถูกเรียกว่า ดาวบนดิน เพราะเมื่อมองจากภูทับเบิกลงไป จะเห็นแสงไฟของบ้านเรือนคล้ายกับแสงดาวบนท้องฟ้าที่ทำให้หลายคนประทับใจจนต้องกลับมาเที่ยวอีกหลายรอบ และนอกจากนั้นที่นี่ยังมีแปลงกะหล่ำปลีลูกโตนับหมื่นไร่ ที่ปลูกอยู่บนหุบเขาอีกด้วย
4. ยอดเขาเทวดา จังหวัดสุพรรณบุรี
ถ้าพูดถึงจังหวัดสุพรรณบุรี หลายคนคงจะนึกถึงตลาดร้อยปี บึงฉลาก แต่รู้หรือไม่ว่า ที่จังหวัดนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่แอบซ่อนอยู่ นั่นคือ ยอดเขาเทวดา เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในจังหวัดสุพรรณบุรี ประมาณ 1,123 เมตร จากระดับน้ำทะเล เป็นผืนป่าสุดท้ายของป่าห้วยขาแข้ง สถานที่แห่งนี้เหมาะกับนักเดินทางขาลุย เพราะระหว่างทางจะมีธรรมชาติที่สวยงามตลอดทางให้ได้ชื่นชมกัน ไม่ว่าจะน้ำตก ไร่ข้าวโพด ทะเลหมอก และยังพบเจออากาศหนาวเย็นได้ในตอนเช้าอีกด้วย
5. ผาหินกูบ จังหวัดจันทบุรี
การเดินทางของนักผจญภัยที่แท้จริง เพราะผาหิบกูบ ต้องใช้การเดินเท้าเท่านั้น ระยะทางประมาณ 7-8 กิโลเมตร ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-6 ชั่วโมง และไม่สามารถเดินกลับลงมาได้ทันที จะต้องนอนค้างบนยอดเขาอย่างน้อย 1 คืน ถึงแม้จะดูเหนื่อยแต่ขอรับรองว่าคุ้มค่ากับการเดินทาง เพราะจะได้เห็นวิวในมุมที่กว้าง มองเห็นได้ทุกมุม ได้ชมพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก อีกทั้งยังมีทะเลหมอกให้ชมอีกด้วย
การเดินทางก็เหมือนการออกไปอ่านหนังสือผ่านประสบการณ์จริง พบเจอ สัมผัสเรื่องราว และสถานที่เหล่านั้นจริงๆ เป็นหนังสือที่เป็นบันทึกการเดินทางในแบบฉบับของแต่ละคน เอาล่ะ! อ่านมาจนถึงตอนนี้แล้ว ใครเริ่มวางแผนจะเดินทางไปเที่ยว อย่าช้าที่จะเริ่มเก็บกระเป๋าแล้วออกเดินทางกันดีกว่า
เดือนพฤสจิกายนนี้ใครมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ นอกเหนือจากทั้ง 5 สถานที่ข้างต้น ที่อยากจะแนะนำให้คนอื่นไปเที่ยวเหมือนกัน สามารถนำมาแชร์กันได้ที่คอมเมนต์ข้างล่างกันเลย