สหภาพยุโรปและอินโดนีเซียได้ลงนามในความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอย่างครอบคลุม (CEPA) ในเดือนกันยายน 2568 ที่ผ่านมา หลังจากเจรจามานานเกือบ 10 ปี ข้อตกลงนี้ให้สิทธิ์การเข้าถึงการค้าสินค้าทวิภาคีโดยปลอดภาษี และกำหนดกรอบสำหรับการบริการ การลงทุน ทรัพย์สินทางปัญญา และการค้าดิจิทัล
สำหรับนักลงทุนต่างชาติ CEPA ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่จะส่งผลต่อทั้งการเข้าสู่ตลาดใหม่และการบริหารจัดการกิจการที่กำลังดำเนินงานอยู่ในอินโดนีเซีย ที่มีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
องค์ประกอบสำคัญของ CEPA
คุณลักษณะที่เห็นได้ชัดที่สุดของ CEPA คือการยกเลิกภาษีศุลกากร โดยในปี 2566 การค้าสินค้าระหว่างสหภาพยุโรปและอินโดนีเซียมีมูลค่าประมาณ 27,000 ล้านยูโร โดยอินโดนีเซียส่งออกไปยังสหภาพยุโรป 17,000 ล้านยูโร และนำเข้า 10,000 ล้านยูโร ซึ่งการยกเลิกภาษีในเกือบทุกหมวดสินค้าคาดว่าจะช่วยให้ผู้ส่งออกยุโรปประหยัดไปได้มากกว่า 2,000 ล้านยูโรต่อปี และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของสินค้าจากอินโดนีเซียที่เข้าสู่ยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งทอ รองเท้า กาแฟ โกโก้ และผลิตภัณฑ์ประมง
นอกเหนือจากกลุ่มสินค้า CEPA ยังเปิดเสรีบางภาคบริการ เช่น การเงิน โลจิสติกส์ และโทรคมนาคม โดยให้บริษัทยุโรปมีเส้นทางการขอใบอนุญาตที่ชัดเจน ข้อกำหนดด้านการค้าดิจิทัลยังคุ้มครองการไหลของข้อมูลข้ามพรมแดนและอีคอมเมิร์ซ สร้างความมั่นใจให้กับผู้ให้บริการฟินเทคและคลาวด์
โอกาสในการเข้าสู่ตลาด
CEPA เพิ่มความน่าสนใจของอินโดนีเซียในฐานะจุดหมายปลายทางสำหรับการลงทุนใหม่ โดยลดภาษี ปรับปรุงกระบวนการศุลกากร และกำหนดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนสำหรับบริการและการค้าดิจิทัล สำหรับบริษัทที่กำลังประเมินการเข้าสู่ตลาด ข้อตกลงนี้จะเปลี่ยนแปลงการคำนวณต้นทุน เวลา และการปฏิบัติตามข้อกำหนด
การยกเลิกภาษีและระยะเวลา
เจ้าหน้าที่สหภาพยุโรปยืนยันว่าจะยกเลิกภาษีประมาณ 98% ของสินค้าจากสหภาพยุโรปที่เข้าสู่อินโดนีเซีย ขณะที่ทางการอินโดนีเซียประเมินว่า 80% ของสินค้าส่งออกจากอินโดนีเซียจะเข้าสู่สหภาพยุโรปโดยปลอดภาษีทันทีหรือภายใต้กำหนดการแบบค่อยเป็นค่อยไปสำหรับสินค้าที่อ่อนไหว เนื่องจากการให้สัตยาบันคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2569 หรือ 2570 นักลงทุนจึงมีระยะเวลาที่ชัดเจนในการเตรียมการด้านใบอนุญาต ความสัมพันธ์ด้านซัพพลาย และพันธมิตรก่อนที่การแข่งขันจะรุนแรงขึ้น