เมืองไทยในยุค Digital Nomad: โอกาสใหม่ของ SME หรือแรงกดดันที่ต้องเผชิญ
ลองจินตนาการถึงเมืองไทยที่เต็มไปด้วยคนทำงานถือแล็ปท็อป นั่งประชุมกับทีมต่างประเทศจากคาเฟ่ในเชียงใหม่ เช้าเขียนโค้ดจากภูเก็ต บ่ายจิบกาแฟริมทะเล และค่ำทำรายงานส่งนิวยอร์ก
ภาพนี้ไม่ใช่อนาคตอีกต่อไป แต่คือปัจจุบันของ “เศรษฐกิจไร้พรมแดน” ที่กำลังเปลี่ยนโฉมเมืองไทยอย่างเงียบ ๆ
Digital Nomad คือแรงงานรุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีทำงานจากที่ใดก็ได้บนโลก และวันนี้ เมืองท่องเที่ยวของไทยได้กลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของคนกลุ่มนี้มากที่สุดในเอเชีย
1. เมืองแห่ง Nomad: พลังใหม่ของเศรษฐกิจท้องถิ่น
เชียงใหม่วันนี้ไม่ใช่แค่เมืองท่องเที่ยวอีกต่อไป แต่กลายเป็น “สำนักงานใหญ่ของโลกไร้พรมแดน” ที่คนทำงานจากซานฟรานซิสโกถึงโซล ต่างย้ายมาพิมพ์งานในคาเฟ่ไทย
รายงานของ Airbnb และ Oxford Economics (2567) ระบุว่า Digital Nomad ใช้จ่ายกว่า 7,000 ล้านบาท ในเชียงใหม่ และ 16,000 ล้านบาท ในภูเก็ต สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจรวมกว่า 15,000 ล้านบาท
เบื้องหลังตัวเลขนี้ คือการหมุนเวียนรายได้ที่หล่อเลี้ยงธุรกิจ SME — จากร้านกาแฟ co-working Space ไปจนถึงร้านอาหารและที่พักขนาดเล็ก ซึ่งกลายเป็นเส้นเลือดหลักของเศรษฐกิจท้องถิ่น
2. DTV: ก้าวใหม่ของนโยบายไทย
การเปิดตัว Destination Thailand Visa (DTV) ในปี 2567 คือหมุดหมายสำคัญที่ขยับภาพของไทยจาก “ประเทศท่องเที่ยว” สู่ “ฐานแรงงานระยะยาวระดับโลก”
DTV อนุญาตให้อยู่ได้ครั้งละ 180 วัน ต่ออายุได้ถึง 5 ปี โดยมีเพียงเงื่อนไขหลักคือเงินฝากขั้นต่ำ 500,000 บาท และหลักฐานการทำงานทางไกล สะท้อนวิสัยทัศน์ใหม่ของไทยในการดึงดูดบุคลากรต่างชาติที่มีกำลังซื้อและไลฟ์สไตล์ยืดหยุ่น
3. ดาบสองคม: เมื่อโอกาสมากับแรงกดดัน
แต่เบื้องหลังโอกาสทองนี้ SME ไทยต้องเผชิญต้นทุนที่พุ่งไม่หยุด ค่าเช่าที่อยู่อาศัยในเชียงใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 123% ในช่วงไตรมาส 2–3 ปี 2566 และในปี 2568 ค่าเช่ากลางเมืองเฉลี่ยแตะ 19,359 บาทต่อเดือนในเชียงใหม่ และ 40,530 บาท ในภูเก็ต
ราคาที่สูงขึ้นไม่เพียงกระทบชีวิตคนท้องถิ่น แต่ยังเป็นภาระต่อต้นทุนของธุรกิจรายย่อย ขณะเดียวกัน ธุรกิจพรีเมียมที่เข้ามารองรับกลุ่ม Nomad ต่างชาติ ก็อาจดึงลูกค้าเดิมจากร้านค้าท้องถิ่น ทำให้การแข่งขันรุนแรงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
4. ช่องว่างนโยบาย: รายได้ที่ยังไม่ถูกจัดเก็บ
แม้รายได้จากกลุ่ม Nomad จะไหลเข้าชุมชนท้องถิ่นจำนวนมาก แต่ไทยยังไม่มีระบบภาษีหรือกลไกเชื่อมโยงกลุ่มนี้กับเศรษฐกิจมหภาคอย่างชัดเจน รายได้ส่วนใหญ่จึงอยู่นอกระบบการจัดเก็บภาษี
นอกจากนี้ ยังมีอุปสรรคด้านกฎหมาย ด้านแรงงาน โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และกฎเกณฑ์การถือครองที่อยู่อาศัยที่ยังไม่สอดคล้องกับวิถี Nomad ซึ่งอาจทำให้โอกาสเศรษฐกิจนี้ “เติบโตได้ไม่เต็มศักยภาพ”
5. ไทยจะเปลี่ยนโอกาสนี้ให้ยั่งยืนได้อย่างไร
Digital Nomad คือแรงขับใหม่ที่ช่วยสร้างรายได้ ยกระดับ SME และกระจายความมั่งคั่งสู่ภูมิภาค
แต่หากขาดการออกแบบนโยบายที่สมดุล ไทยอาจต้องแลกโอกาสนี้ด้วยความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้น
คำถามจึงไม่ใช่แค่ “จะดึง Nomad เข้ามาได้เท่าไร” แต่คือ “จะทำให้พวกเขาอยู่ร่วมกับท้องถิ่นอย่างยั่งยืนได้อย่างไร”
เพราะสุดท้ายแล้ว…
การเปิดรับโลกใหม่จะมีค่าเท่ากับการปกป้องฐานรากของเราได้มากเพียงใด
นั่นคือบททดสอบใหญ่ของเมืองไทยในยุค Digital Nomad
ผู้เขียน: ทักษิณ แซ่เตียว Economist

