สัญญาณเตือนจากกองทุนประกันสังคมต่อภาคธุรกิจไทย

Bnomics
07/11/2025
รับชมแล้วทั้งหมด 10 คน
สัญญาณเตือนจากกองทุนประกันสังคมต่อภาคธุรกิจไทย
banner

เมื่อ “กองทุนประกันสังคม” กำเนิดขึ้นในปี 2533 เศรษฐกิจไทยยังรุ่งเรือง แรงงานหนุ่มสาวมีมาก และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) คือกำลังหลักของประเทศ

ระบบในขณะนั้นถูกออกแบบมาเพื่อ “สังคมวัยทำงาน” ที่มีผู้สูงอายุเพียงส่วนน้อย


แต่กว่า 30 ปีผ่านไป ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงวัยสมบูรณ์” ประชากร 1 ใน 5 คือผู้สูงอายุ ขณะที่อัตราการเกิดลดลงเหลือเพียง 460,000 คนในปี 2567 — ต่ำที่สุดในรอบ 70 ปี ส่วนอายุขัยเฉลี่ยของคนไทยเพิ่มขึ้นเป็น 77–78 ปี


ระบบที่ออกแบบไว้ในยุคหนึ่ง… กำลังถูกทดสอบอย่างหนักในอีกยุคหนึ่ง

โดยเฉพาะต่อ “ภาคแรงงานและธุรกิจ” ซึ่งเป็นหัวใจของเศรษฐกิจฐานรากไทย


ระบบที่หยุดนิ่งท่ามกลางสังคมที่เปลี่ยนไป

ปัจจุบัน ผู้ประกันตนในระบบแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก

1. มาตรา 33 สำหรับลูกจ้างในระบบและนายจ้าง

2. มาตรา 39 สำหรับผู้ที่ลาออกจากงานประจำแต่ยังส่งเงินสมทบต่อเนื่องโดยสมัครใจ

3. มาตรา 40 สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระที่เข้าร่วมโดยมีรัฐช่วยสมทบ


แม้ทั้งสามกลุ่มนี้จะเปิดโอกาสให้คนไทยทุกอาชีพมีหลักประกันทางสังคม แต่ “โครงสร้าง” แทบไม่เปลี่ยนเลยกว่า 30 ปี

- เพดานค่าจ้างในการจ่ายเงินสมทบยังคงอยู่ที่ 15,000 บาท (อัตรากำหนดตั้งแต่ปี 2538)

- ผู้มีสิทธิรับเงินบำนาญได้ตั้งแต่อายุ 55 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในอายุรับสิทธิที่ต่ำที่สุดในเอเชีย

- สูตรการจ่ายบำนาญยังเป็นแบบ “กำหนดผลประโยชน์ (Defined Benefit)” ที่รับประกันเงินบำนาญตามสูตรตายตัว เมื่อประชากรมีอายุยืนขึ้นและผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น กองทุนจึงรับภาระมากขึ้น


ผลคือ “รายจ่ายเติบโตเร็วกว่ารายรับ”

แรงงานลดลง ในขณะที่มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นและอายุยืนขึ้น


จากรายงานคณิตศาสตร์ประกันภัย (Actuarial Review) ตั้งแต่ปี 2541 รวมถึงการศึกษาของกระทรวงการคลัง องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) และธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ต่างสรุปไปในทิศทางเดียวกันว่า

- กองทุนประกันสังคมจะเริ่มขาดดุลทางการเงินในราวปี 2573

- และอาจ หมดเงินสะสมระหว่างปี 2598–2603


ซึ่งหมายความว่า ในช่วงชีวิตของแรงงานและผู้ประกอบการในปัจจุบัน กองทุนที่ควรจะเป็น “หลักประกันยามเกษียณ” อาจกลายเป็น “ภาระทางการคลังของรัฐ” แทน


ผู้เชี่ยวชาญได้เสนอแนวทางสำคัญเพื่อป้องกันไม่ให้ระบบนี้กลายเป็นภาระของคนรุ่นต่อไป ได้แก่

1. ปรับสูตรการจ่ายบำนาญให้สะท้อนเงินสมทบจริง ค่อยๆ เปลี่ยนจากระบบกำหนดผลประโยชน์ไปสู่ระบบ กำหนดเงินสมทบ (Defined Contribution) เพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

2. ปรับเพดานเงินเดือนและขึ้นอัตราเงินสมทบให้สะท้อนค่าครองชีพปัจจุบัน เพื่อเพิ่มรายได้เข้ากองทุนอย่างเป็นธรรม

3. ขยายอายุรับเงินบำนาญแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น เพิ่มครั้งละ 6 เดือนต่อปีจนถึง 60 ปีในปี 2578 ซึ่งจะช่วยยืดอายุความมั่นคงของกองทุนได้หลายปี


ทำไมภาคธุรกิจต้องสนใจ?

1. แรงงานขาดแคลนและต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุคที่แรงงานลดลงอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจจำนวนมากเริ่มเผชิญความยากลำบากในการหาคนทำงาน โดยเฉพาะในภาคการผลิตและบริการที่ใช้แรงงานเข้มข้น การแข่งขันแย่งแรงงานจึงทวีความรุนแรงและอาจผลักดันให้ค่าจ้างเฉลี่ยปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หากระบบประกันสังคมไม่สามารถรักษาสมดุลรายรับ–รายจ่ายได้ รัฐอาจจำเป็นต้องปรับเพดานเงินเดือนและอัตราเงินสมทบในอนาคต ซึ่งย่อมเพิ่มภาระต่อนายจ้าง โดยเฉพาะกลุ่ม SME ที่มีข้อจำกัดด้านต้นทุนและสภาพคล่อง

2. แรงงานวัยทำงานต้องแบกรับภาระครอบครัวสูงวัยมากขึ้น

เมื่อจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น แรงงานรุ่นใหม่จำนวนมากต้องรับภาระดูแลพ่อแม่หรือญาติสูงวัย ส่งผลให้ต้องวางแผนออมเงินมากขึ้น และมีแนวโน้มลดการใช้จ่ายเพื่อบริโภค ซึ่งอาจกระทบต่อกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะธุรกิจที่พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศ

3. ความเสี่ยงทางการคลังในระยะยาว

หากระบบประกันสังคมไม่ถูกปรับโครงสร้างให้ยั่งยืน ภาครัฐอาจต้องนำงบประมาณมาชดเชยรายจ่ายของกองทุน ซึ่งจะเพิ่มภาระทางการคลังและจำกัดความสามารถของรัฐในการสนับสนุนภาคธุรกิจในด้านอื่น เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน


ดังนั้น การปฏิรูปกองทุนประกันสังคม จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว หรือเป็นเพียงภาระของรัฐ

แต่คือ “การลงทุนเพื่ออนาคต” ที่จะวางรากฐานความมั่นคงให้ทั้งเศรษฐกิจและสังคมไทยในระยะยาว

 

เมื่อ รัฐ นายจ้าง และแรงงาน เดินไปในทิศทางเดียวกัน

ระบบประกันสังคมจะไม่ใช่แค่ “ตาข่ายรองรับ” แต่จะกลายเป็น “โครงสร้างพื้นฐานทางสังคม” ที่ช่วยให้ประเทศไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งและแข่งขันได้ในเวทีโลก


สำหรับผู้ประกอบการแล้ว “ความยั่งยืน” อาจไม่ใช่เพียงการสร้างผลกำไรในวันนี้ แต่คือการร่วมสร้างระบบเศรษฐกิจและสังคมที่มั่นคงในระยะยาว แรงงานที่ได้รับความมั่นคงย่อมเป็นรากฐานของธุรกิจที่แข็งแรง และเป็นพลังสำคัญให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน


Bangkok Bank SMEเราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ
สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพคลิกหรือสายด่วน1333


Related Article

NIIP: ความมั่งคั่งเงียบ ๆ ที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนของ SME ไทย

NIIP: ความมั่งคั่งเงียบ ๆ ที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนของ SME ไทย

NIIP: ความมั่งคั่งเงียบ ๆ ที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนของ SME ไทย(Net International Investment Position: ฐานะการลงทุนระหว่างประเทศสุทธิ)ลองจินตนาการว่าคุณเป็นเจ้าของกิจการเล็ก…
pin
3 | 05/12/2025
สัญญาณเตือนจากกองทุนประกันสังคมต่อภาคธุรกิจไทย

สัญญาณเตือนจากกองทุนประกันสังคมต่อภาคธุรกิจไทย

เมื่อ “กองทุนประกันสังคม” กำเนิดขึ้นในปี 2533 เศรษฐกิจไทยยังรุ่งเรือง แรงงานหนุ่มสาวมีมาก และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) คือกำลังหลักของประเทศระบบในขณะนั้นถูกออกแบบมาเพื่อ…
pin
10 | 07/11/2025
เมืองไทยในยุค Digital Nomad: โอกาสใหม่ของ SME หรือแรงกดดันที่ต้องเผชิญ

เมืองไทยในยุค Digital Nomad: โอกาสใหม่ของ SME หรือแรงกดดันที่ต้องเผชิญ

ลองจินตนาการถึงเมืองไทยที่เต็มไปด้วยคนทำงานถือแล็ปท็อป นั่งประชุมกับทีมต่างประเทศจากคาเฟ่ในเชียงใหม่ เช้าเขียนโค้ดจากภูเก็ต บ่ายจิบกาแฟริมทะเล…
pin
17 | 10/10/2025
สัญญาณเตือนจากกองทุนประกันสังคมต่อภาคธุรกิจไทย