เมื่อ “กองทุนประกันสังคม” กำเนิดขึ้นในปี 2533 เศรษฐกิจไทยยังรุ่งเรือง แรงงานหนุ่มสาวมีมาก และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) คือกำลังหลักของประเทศ
ระบบในขณะนั้นถูกออกแบบมาเพื่อ “สังคมวัยทำงาน” ที่มีผู้สูงอายุเพียงส่วนน้อย
แต่กว่า 30 ปีผ่านไป ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงวัยสมบูรณ์” ประชากร 1 ใน 5 คือผู้สูงอายุ ขณะที่อัตราการเกิดลดลงเหลือเพียง 460,000 คนในปี 2567 — ต่ำที่สุดในรอบ 70 ปี ส่วนอายุขัยเฉลี่ยของคนไทยเพิ่มขึ้นเป็น 77–78 ปี
ระบบที่ออกแบบไว้ในยุคหนึ่ง… กำลังถูกทดสอบอย่างหนักในอีกยุคหนึ่ง
โดยเฉพาะต่อ “ภาคแรงงานและธุรกิจ” ซึ่งเป็นหัวใจของเศรษฐกิจฐานรากไทย
ระบบที่หยุดนิ่งท่ามกลางสังคมที่เปลี่ยนไป
ปัจจุบัน ผู้ประกันตนในระบบแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก
1. มาตรา 33 สำหรับลูกจ้างในระบบและนายจ้าง
2. มาตรา 39 สำหรับผู้ที่ลาออกจากงานประจำแต่ยังส่งเงินสมทบต่อเนื่องโดยสมัครใจ
3. มาตรา 40 สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระที่เข้าร่วมโดยมีรัฐช่วยสมทบ
แม้ทั้งสามกลุ่มนี้จะเปิดโอกาสให้คนไทยทุกอาชีพมีหลักประกันทางสังคม แต่ “โครงสร้าง” แทบไม่เปลี่ยนเลยกว่า 30 ปี
- เพดานค่าจ้างในการจ่ายเงินสมทบยังคงอยู่ที่ 15,000 บาท (อัตรากำหนดตั้งแต่ปี 2538)
- ผู้มีสิทธิรับเงินบำนาญได้ตั้งแต่อายุ 55 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในอายุรับสิทธิที่ต่ำที่สุดในเอเชีย
- สูตรการจ่ายบำนาญยังเป็นแบบ “กำหนดผลประโยชน์ (Defined Benefit)” ที่รับประกันเงินบำนาญตามสูตรตายตัว เมื่อประชากรมีอายุยืนขึ้นและผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น กองทุนจึงรับภาระมากขึ้น
ผลคือ “รายจ่ายเติบโตเร็วกว่ารายรับ”
แรงงานลดลง ในขณะที่มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นและอายุยืนขึ้น
จากรายงานคณิตศาสตร์ประกันภัย (Actuarial Review) ตั้งแต่ปี 2541 รวมถึงการศึกษาของกระทรวงการคลัง องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) และธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ต่างสรุปไปในทิศทางเดียวกันว่า
- กองทุนประกันสังคมจะเริ่มขาดดุลทางการเงินในราวปี 2573
- และอาจ หมดเงินสะสมระหว่างปี 2598–2603
ซึ่งหมายความว่า ในช่วงชีวิตของแรงงานและผู้ประกอบการในปัจจุบัน กองทุนที่ควรจะเป็น “หลักประกันยามเกษียณ” อาจกลายเป็น “ภาระทางการคลังของรัฐ” แทน
ผู้เชี่ยวชาญได้เสนอแนวทางสำคัญเพื่อป้องกันไม่ให้ระบบนี้กลายเป็นภาระของคนรุ่นต่อไป ได้แก่
1. ปรับสูตรการจ่ายบำนาญให้สะท้อนเงินสมทบจริง ค่อยๆ เปลี่ยนจากระบบกำหนดผลประโยชน์ไปสู่ระบบ กำหนดเงินสมทบ (Defined Contribution) เพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
2. ปรับเพดานเงินเดือนและขึ้นอัตราเงินสมทบให้สะท้อนค่าครองชีพปัจจุบัน เพื่อเพิ่มรายได้เข้ากองทุนอย่างเป็นธรรม
3. ขยายอายุรับเงินบำนาญแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น เพิ่มครั้งละ 6 เดือนต่อปีจนถึง 60 ปีในปี 2578 ซึ่งจะช่วยยืดอายุความมั่นคงของกองทุนได้หลายปี
ทำไมภาคธุรกิจต้องสนใจ?
1. แรงงานขาดแคลนและต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น
ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุคที่แรงงานลดลงอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจจำนวนมากเริ่มเผชิญความยากลำบากในการหาคนทำงาน โดยเฉพาะในภาคการผลิตและบริการที่ใช้แรงงานเข้มข้น การแข่งขันแย่งแรงงานจึงทวีความรุนแรงและอาจผลักดันให้ค่าจ้างเฉลี่ยปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หากระบบประกันสังคมไม่สามารถรักษาสมดุลรายรับ–รายจ่ายได้ รัฐอาจจำเป็นต้องปรับเพดานเงินเดือนและอัตราเงินสมทบในอนาคต ซึ่งย่อมเพิ่มภาระต่อนายจ้าง โดยเฉพาะกลุ่ม SME ที่มีข้อจำกัดด้านต้นทุนและสภาพคล่อง
2. แรงงานวัยทำงานต้องแบกรับภาระครอบครัวสูงวัยมากขึ้น
เมื่อจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น แรงงานรุ่นใหม่จำนวนมากต้องรับภาระดูแลพ่อแม่หรือญาติสูงวัย ส่งผลให้ต้องวางแผนออมเงินมากขึ้น และมีแนวโน้มลดการใช้จ่ายเพื่อบริโภค ซึ่งอาจกระทบต่อกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะธุรกิจที่พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศ
3. ความเสี่ยงทางการคลังในระยะยาว
หากระบบประกันสังคมไม่ถูกปรับโครงสร้างให้ยั่งยืน ภาครัฐอาจต้องนำงบประมาณมาชดเชยรายจ่ายของกองทุน ซึ่งจะเพิ่มภาระทางการคลังและจำกัดความสามารถของรัฐในการสนับสนุนภาคธุรกิจในด้านอื่น เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
ดังนั้น การปฏิรูปกองทุนประกันสังคม จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว หรือเป็นเพียงภาระของรัฐ
แต่คือ “การลงทุนเพื่ออนาคต” ที่จะวางรากฐานความมั่นคงให้ทั้งเศรษฐกิจและสังคมไทยในระยะยาว
เมื่อ รัฐ นายจ้าง และแรงงาน เดินไปในทิศทางเดียวกัน
ระบบประกันสังคมจะไม่ใช่แค่ “ตาข่ายรองรับ” แต่จะกลายเป็น “โครงสร้างพื้นฐานทางสังคม” ที่ช่วยให้ประเทศไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งและแข่งขันได้ในเวทีโลก
สำหรับผู้ประกอบการแล้ว “ความยั่งยืน” อาจไม่ใช่เพียงการสร้างผลกำไรในวันนี้ แต่คือการร่วมสร้างระบบเศรษฐกิจและสังคมที่มั่นคงในระยะยาว แรงงานที่ได้รับความมั่นคงย่อมเป็นรากฐานของธุรกิจที่แข็งแรง และเป็นพลังสำคัญให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน

